การฟอกไต (hemodialysis) คืออะไร? ช่วยรักษาภาวะไตวายให้หายได้หรือไม่? การฟอกไต (hemodialysis) คืออะไร? ช่วยรักษาภาวะไตวายให้หายได้หรือไม่?

รู้จักการฟอกไต วิธียืดอายุผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง

เมื่อเข้าสู่ภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ไตไม่สามารถกำจัดของเสียออกจากร่างกายได้ตามกลไกปกติ ผู้ป่วยจะต้องเข้าสู่กระบวนการบำบัดทดแทนไตที่เรียกว่า “การฟอกไต” เพื่อกำจัดของเสียออกจากร่างกาย ให้ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการฟอกไต

การฟอกไต hemodialysis คืออะไร?

การฟอกไตคืออะไร?

การฟอกไต (Kidney Dialysis) คือ การกรองและกำจัดของเสียต่าง ๆ ออกจากร่างกาย เป็นวิธีทางการแพทย์ที่ใช้สำหรับรักษาผู้ป่วยไตเรื้อรังระยะสุดท้ายหรือไตวายเฉียบพลัน เนื่องจากไตของผู้ป่วยระยะนี้ไม่สามารถทำหน้าที่กรองของเสียได้ ส่งผลให้เกิดสารพิษและของเสียสะสมในร่างกาย จึงต้องทำการฟอกไตเพื่อให้มีการทำงานใกล้เคียงกับไตในภาวะปกติ ช่วยให้ร่างกายของผู้ป่วยมีความสมดุล

การฟอกไตมีกี่วิธี?

ปัจจุบันการฟอกไตที่นิยมใช้มี 2 วิธี ได้แก่

  1. การฟอกไตทางหลอดเลือด (Hemodialysis)

  2. การฟอกไตมีกี่แบบ? ปัจจุบันการฟอกไตที่นิยมใช้มี 2 วิธี 1. การฟอกไตทางหลอดเลือด (Hemodialysis)

    เป็นการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม โดยจะนำเลือดออกจากร่างกายทางเส้นเลือดดำ ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับการใส่สายฟอกเลือดชั่วคราว เพื่อให้หลอดเลือดดำมีขนาดใหญ่ขึ้นและมีแรงดันมากพอที่จะทำให้เลือดไหลเวียนสู่เครื่องไตเทียมได้ เมื่อเลือดผ่านตัวกรองจะได้รับการกำจัดของเสีย ปรับระดับเกลือแร่ในเลือดจนกลายเป็นเลือดดี แล้วนำเลือดกลับเข้าสู่ร่างกายเหมือนเดิม วิธีนี้จะใช้เวลาประมาณ 3-5 ชั่วโมง และทำอย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์

  3. การฟอกไตทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis)

  4. การฟอกไตมีกี่แบบ? ปัจจุบันการฟอกไตที่นิยมใช้มี 2 วิธี 2. การฟอกไตทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis)

    เป็นการกรองของเสียและสารพิษผ่านทางช่องท้องด้วยน้ำยาล้างไต โดยแพทย์จะฝังสายท่อล้างไตแบบถาวรไว้ในช่องท้องของผู้ป่วย เพื่อเป็นช่องทางเข้า-ออกของน้ำยาล้างไต เวลาฟอกไตผู้ป่วยจะใส่น้ำยาล้างไตเข้าไปในช่องท้องผ่านท่อดังกล่าว และทิ้งไว้ประมาณ 4-6 ชั่วโมง หลังจากนั้นผู้ป่วยจะปล่อยน้ำยาที่ดูดซึมของเสียออกมาทางช่องท้อง และทำการเติมน้ำยาล้างไตเข้าไปในช่องท้องอีกครั้ง วิธีนี้สามารถทำได้เองที่บ้าน โดยต้องทำทุกวันประมาณ 4-6 ครั้งต่อวัน

เมื่อไรที่ต้องเริ่มรักษาด้วยการฟอกไต?

เมื่อผู้ป่วยโรคไตเริ่มเข้าสู่ระยะที่ 4 จนถึงระยะที่ 5 ซึ่งเป็นระยะสุดท้าย เนื่องจากเป็นระยะที่ไตทำงานได้น้อยกว่า 30% หรือผู้ป่วยโรคไตที่มีภาวะดังต่อไปนี้

  • ภาวะบวมน้ำรุนแรง ส่งผลให้หัวใจวายหรือระบบหายใจล้มเหลว
  • ระดับเกลือแร่ผิดปกติ หรือมีภาวะเลือดเป็นกรดรุนแรง ไม่สามารถประคับประคองด้วยยาได้
  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน น้ำหนักลด
  • เยื่อหุ้มปอดหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบจากการคั่งของของเสีย
  • รู้สึกตัวลดลง หรือมีอาการชักกระตุก

ผู้ป่วยฟอกไตอยู่ได้นานเท่าไร?

การฟอกไตช่วยยืดอายุของผู้ป่วยฟอกไตได้ แต่ระยะเวลาจะนานเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ทั้งการมีโรคประจำตัวอื่นของผู้ป่วย และการดูแลตนเองหลังการฟอกไต หากผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด รักษาสุขอนามัยเป็นอย่างดี รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ งดเครื่องดื่มที่มีฟอสเฟตสูง ไม่สูบบุหรี่ และควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินมาตรฐาน รวมทั้งทำการฟอกไตอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้ผู้ป่วยก็มีโอกาสอยู่ได้นานถึงหลักสิบปีเลยทีเดียว

การฟอกไตเจ็บไหม?

การฟอกไตทั้ง 2 วิธี ไม่เจ็บอย่างที่คิด โดยการฟอกไตทางหลอดเลือด แพทย์จะแทงเข็มเข้าสู่เส้นเลือดเพื่อให้เลือดส่งผ่านสายฟอกไตไปยังตัวกรอง หลังจากเลือดผ่านการทำความสะอาดแล้วเครื่องไตเทียมก็จะส่งเลือดกลับเข้าสู่ร่างกายอีกครั้ง วิธีนี้ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกเจ็บเฉพาะตอนแทงเข็ม ซึ่งคล้ายกับการเจาะเลือดหรือการฉีดยาธรรมดา เว้นแต่ว่าผู้ป่วยเส้นเลือดจมอาจรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย ระหว่างที่เลือดถูกนำมาฟอกจะไม่มีอาการเจ็บใด ๆ

ส่วนการฟอกไตทางช่องท้องก็ไม่เจ็บเช่นเดียวกัน เพราะเป็นการใส่น้ำยาผ่านท่อที่ฝังไว้ในช่องท้องอยู่แล้ว โดยผู้ป่วยเพียงนำน้ำยาฟอกไตใส่เข้าไปทางท่อด้านหนึ่ง และปล่อยน้ำยาทิ้งไว้ประมาณ 4-6 ชั่วโมง เพื่อให้ของเสียและน้ำส่วนเกินมาอยู่บริเวณหน้าท้อง เมื่อครบน้ำยาจะไหลออกมาทางท่ออีกด้านหนึ่ง โดยแพทย์จะกำหนดปริมาณน้ำยาฟอกไตที่พอเหมาะประมาณครั้งละ 2 ลิตร ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บหรือปวดแน่นท้อง

ไตวายเรื้อรัง

ไตวายเรื้อรัง คือ ภาวะที่ไตถูกทำลายช้า ๆ อย่างต่อเนื่อง จนทำให้ไตไม่สามารถทำหน้าที่ได้ปกติ โดยสัญญาณเตือนของโรคไตวายเรื้อรัง คือ เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะมีความปกติ มีอาการบวมตามจุดต่าง ๆ เช่น หน้าบวม ตาบวม หรือเท้าบวม เป็นต้น หากไม่ได้รับการรักษา จะเข้าสู่ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายนำมาสู่การบำบัดทดแทนไตอย่างการฟอกไตนั่นเอง

สาเหตุของไตวายเรื้อรัง

  • มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด หรือโรคความดันโลหิตสูง
  • เป็นโรคไตอักเสบชนิดต่าง ๆ เช่น โรค SLE
  • ได้รับยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDS เป็นระยะเวลานาน
  • มีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคไตวายเรื้อรัง
  • ติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะหลายครั้ง

วิธีป้องกันอย่างไรไม่ให้เป็นไตวายเรื้อรัง

  • เลี่ยงการใช้ยาที่ผลต่อไตติดต่อกันเป็นเวลานาน เช่น ยาสมุนไพร ยาลูกกลอน เป็นต้น
  • ลดอาหารที่มีไขมันสูง อาหารรสเค็ม
  • ควบคุมน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • งดการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • ตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อคัดกรองความเสี่ยง

หากไตไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ย่อมส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ การฟอกไต จึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ซึ่งระยะการฟอกไตนั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค หากมีอาการไตวายเฉียบพลัน สามารถหยุดฟอกไตได้เมื่อไตกลับมาทำงานปกติ ในขณะที่ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายจะต้องฟอกไตไปตลอดชีวิตหรือจนกว่าจะได้รับการปลูกถ่ายไต

ซึ่งการฟอกไต ราคาจะแตกต่างกันไป โดยการฟอกไตทางหลอดเลือดจะอยู่ที่ครั้งละประมาณ 1,500 – 1,700 บาท และการฟอกไตทางช่องท้อง ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยไม่เกิน 20,000 บาท ซึ่งต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง หากกรณีที่ต้องฟอกไตตลอดชีวิต ต้องเตรียมค่ารักษาเท่าไรถึงจะพอ? จะดีกว่าไหมหากมีประกันโรคร้ายแรงไว้ติดตัว ที่พร้อมให้ความคุ้มครองการรักษาโรคไตวายเรื้อรัง ดูแลค่าใช้จ่ายในการฟอกไต ให้คุณไร้กังวลแม้ต้องเผชิญกับโรคร้ายแรง

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

รับคำอธิบายพร้อมปรึกษาแบบประกันที่ เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ

แชทกับผู้เชี่ยวชาญผ่าน Line KBank Live แชทกับผู้เชี่ยวชาญผ่าน Line KBank Live คุยกับผู้เชี่ยวชาญผ่าน Kbank Call Center
แตะเพื่อปิด
มีคำถาม? แชทกับ KBank Liveclose
icon_line