ประเด็นร้อน : ลงทุนอย่างไร เมื่อเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ปี 65 โต 4.5%

เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวหลังสภาพัฒน์เผยตัวเลข GDP ไทยโต 4.5% สำหรับผู้ที่ลงทุนได้ระยะกลาง-ยาว และรับความผันผวนได้ สามารถทยอยเข้าลงทุนได้หรือหากสนใจเป็นกองทุนหุ้นก็สามารถทยอยลงทุนได้เช่นกัน



อัปเดตประเด็นร้อน


21 พ.ย. สภาพัฒน์ (สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ: สศช.) เปิดเผย GDP ไตรมาส 3/2565 ว่าขยายตัว 4.5 % เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) จากที่ไตรมาส 1 และ 2 ของปีนี้ ขยายตัว 2.3% และ 2.5% ตามลำดับ

หากพิจารณาเฉพาะ 9 เดือนแรก ของปี 65 เศรษฐกิจขยายตัวที่ 3.1%

o จากภาคการใช้จ่าย การอุปโภคบริโภค จากการที่ประชาชนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติหลังการผ่อนคลายมาตรการ COVID-19 การลงทุนภาคเอกชน การส่งออกบริการ การผลิตสินค้าอุตสาหกรรม

o แต่สำหรับการส่งออกสินค้ายังชะลอตัว การผลิตสาขาก่อสร้างและเกษตรกรรม รวมถึงการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐปรับตัวลดลง


แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 65-66


สภาพัฒน์ คาดการณ์ว่า

o เศรษฐกิจไทยทั้งปี 65 จะขยายตัว 3.2% สูงกว่าปี 64 ซึ่งอยู่ที่ 1.5% โดยคาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางเข้ามาประเทศไทยกว่า 10.2 ล้านคน มีรายรับกว่า 5.7 แสนล้านบาท

o ส่วนปี 66 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 3.0% - 4.0% (ค่ากลาง 3.5%) โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ 4 ปัจจัย ได้แก่ (1) การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว (2) การขยายตัวของการลงทุนทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ (3) การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ (4) การขยายตัวในเกณฑ์ดีของภาคเกษตร

โดย IMF หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ มองว่าไทยและจีนเป็นเพียงสองประเทศในเอเชียที่เศรษฐกิจขยายตัวในปี 66 โดย

o GDP ไทยมีแนวโน้มขยายตัว 2.8% ในปี 65 ซึ่งต่ำกว่าที่สภาพัฒน์คาดการณ์ไว้

o และขยายตัว 3.7% ในปี 66 ซึ่งสอดคล้องกับกรอบที่สภาพัฒน์คาดการณ์ไว้

ในขณะที่ GDP โลก ที่ IMF คาดการณ์ว่าขยายตัว 3.2% ในปี 2565 (ชะลอตัวจากปี 64 ที่ 6.0%) และ 2.7% ในปี 66 (ชะลอตัวลงเพิ่ม)

คำแนะนำการลงทุน


ณ 21 พ.ย. ดัชนีหุ้นไทย หรือ SET Index ปิดตลาดอยู่ที่ 1,618.86 จุด โดยปรับตัวขึ้นเล็กน้อย +0.09% เทียบกับวันก่อนหน้า

นักลงทุนระยะสั้น บล.กสิกรไทย ได้ให้กรอบดัชนีหุ้นไทย (SET Index) สัปดาห์นี้ไว้ที่ 1,585-1,650

นักลงทุนระยะกลางถึงยาว สามารถทยอยลงทุนได้ โดยหากเป็นการลงทุนผ่านกองทุนหุ้น แนะนำพิจารณากองทุนที่เน้นหุ้นพื้นฐานดี เช่น K-STAR หรือ K-BANKING ที่เน้นลงทุนในหุ้นธุรกิจธนาคาร ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์การทิศทางการขึ้นดอกเบี้ย

o อย่างไรก็ตามในระยะสั้น หุ้นไทยยังคงมีความผันผวน

จากปัจจัยนอกประเทศ เช่น สถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน, การแพร่ระบาดโควิด-19 ในจีนที่แย่ลง, ความไม่แน่นอนในทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ ของ FED

ปัจจัยภายในประเทศ เช่น หุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ บางบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการปล่อยสินเชื่อและการกำหนดเพดานดอกเบี้ย

สำหรับผู้ที่ยังกังวลกับความผันผวนของตลาดหุ้น แนะนำพักเงินในกองทุน K-SF ซึ่งเหมาะกับการพักเงิน 3 เดือนขึ้นไป เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้ง หรือสำหรับผู้ที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี อาจเลือกลงทุนเพื่อพักเงินในกองทุน K-SF-SSF หรือกองทุน KSFRMF (duration ไม่เท่า K-SF) ก่อนก็ได้

เรียบเรียงเนื้อหาโดย K WEALTH Trainer ราชันย์ ตันติจินดา CFP®

ขอขอบคุณข้อมูลจาก THAIPOST, efinancethai, workpointtoday, bangkokbiznews

Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”