ประเด็นร้อน: Fed ลดดอกเบี้ย 0.25% ชี้เศรษฐกิจและนโยบายอยู่จุดที่ดี ขณะที่หุ้นจีนพุ่ง หลังยอดส่งออกโตเกินคาด

ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ทางด้านตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นตอบรับยอดส่งออกที่ออกมาแข็งแกร่งและความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศณษฐกิจ

• ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เสียงเอกฉันท์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% โดยการแสดงความมั่นใจของประธาน Fed ครั้งนี้ เน้นเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจและควบคุมเงินเฟ้อ K WEALTH มีมุมมองเป็นบวกในหุ้นกลุ่ม Defensive อย่าง Healthcare และ Infrastructure


• ตลาดหุ้นจีนปิดบวกเนื่องจากยอดส่งออกที่แข็งแกร่งและความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะประกาศในสัปดาห์นี้ โดย K WEALTH มีมุมมองเป็นบวกมากขึ้น แต่ยังคงมีมุมมองเป็นกลาง (Neutral) อยู่ แนะนำว่ายังคงถือต่อได้หากมีกองทุนหุ้นจีนในสัดส่วนที่ไม่มากนัก




Fed ลดดอกเบี้ย 0.25% ยืนยันดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวัง

ที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 7-8 พฤศจิกายน หลังพบว่าตลาดแรงงานเริ่มผ่อนคลาย และอัตราเงินเฟ้อใกล้เคียงเป้าหมาย 2% มากขึ้น


นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ เผยว่าจะดำเนินนโยบายการเงินอย่างรอบคอบและอดทน โดยกล่าวว่า "การปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้จะช่วยรักษาความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน พร้อมทั้งสนับสนุนให้เงินเฟ้อเข้าสู่เป้าหมายได้ดีขึ้น”


อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ให้สัญญาณชัดเจนเกี่ยวกับการปรับลดดอกเบี้ยครั้งถัดไป โดยระบุว่าจะรอดูข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดก่อน เนื่องจากต้องระมัดระวังความเสี่ยงจากการดำเนินนโยบายเร็วเกินไปซึ่งอาจกระทบต่อการควบคุมเงินเฟ้อ และหากดำเนินนโยบายช้าเกินไปก็อาจทำให้ตลาดแรงงานอ่อนแอลง


ปัจจุบันตัวเลขตลาดแรงงานและอัตราเงินเฟ้ออยู่ในภาวะสมดุล ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 12,000 ตำแหน่งในเดือนตุลาคม แสดงถึงการขยายตัวแม้ว่าอัตราการขยายตัวจะช้าลง นอกจากนี้ ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่ไม่รวมอาหารและพลังงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อหลัก อยู่ที่ระดับ 2.6% ในเดือนกันยายน แสดงว่าอัตราเงินเฟ้อเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น


ในสัปดาห์นี้ บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐดีขึ้น ทำให้ NAV ของกองทุนหุ้นสหรัฐและกองทุนหุ้นทั่วโลกที่มีสัดส่วนการลงทุนในหสรัฐมีเคลื่อนไหวเป็นบวก โดย ณ วันที่ 6 พ.ย.24 กองทุน K-CHANGE-A(A) เพิ่มขึ้น 3.27%, K-CHANGE-SSF เพิ่มขึ้น 3.27%, K-CHANGERMF เพิ่มขึ้น 3.29% และ K-GLOBE เพิ่มขึ้น 3.04% จากราคา NAV วันก่อนหน้า



มุมมองการลงทุน

K WEALTH มองว่าการลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้และการแสดงความมั่นใจของพาวเวล สะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการควบคุมเงินเฟ้อไม่ให้สูงเกินไป ในระยะยาวจำเป็นต้องติดตามผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์อย่างใกล้ชิด K WEALTH ยังคงมีมุมมอง Slight Positive ต่อหุ้นกลุ่ม Defensive


ส่งให้ K WEALTH ยังคงแนะนำลงทุนในกลุ่ม Healthcare และ Infrastructure ซึ่งมีมูลค่าเหมาะสม รูปแบบธุรกิจพร้อมรับกับความผันผวนของเศรษฐกิจ และได้รับอานิสงส์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย



ตลาดหุ้นจีนพุ่งหลังส่งออกดีกว่าคาด

ตลาดหุ้นจีนปิดบวกในวันนี้ (7 พ.ย.) จากการส่งออกที่แข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,470.66 จุด เพิ่มขึ้น 86.85 จุด หรือ +2.57%


สำนักงานศุลกากรจีน (GAC) เปิดเผย ยอดส่งออกพุ่งขึ้น 12.7% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 5.2% นอกจากนี้ ยอดส่งออกเดือนต.ค.ยังแข็งแกร่งกว่าในเดือนก.ย.ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.4%, 8.7% ในเดือนส.ค. และ 7% ในเดือนก.ค.


ทั้งนี้ การส่งออกที่พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งส่งผลให้จีนมียอดเกินดุลการค้าเพิ่มขึ้นแตะระดับ 9.527 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนต.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 7.35 หมื่นล้านดอลลาร์ และเพิ่มขึ้นจากเดือนก.ย.ที่ระดับ 8.171 หมื่นล้านดอลลาร์


ในสัปดาห์นี้ จีนมีการประชุมของคณะรัฐมนตรี โดยทางการจีนกำลังพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม นายกรัฐมนตรีของจีนระบุว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ


จากประเด็นทั้งหมดนี้ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นจีน ราคาของกองทุนหลักของกองทุนหุ้นจีน และกองทุนหุ้นจีน มีการปรับตัวขึ้น เช่น กองทุน K-CHX ปรับตัวขึ้น 3.68% จากราคา NAV ในวันก่อนหน้า (ณ วันที่ 7 พ.ย. 2024)



มุมมองการลงทุน

K WEALTH มีมุมมอง Neutral ต่อการลงทุนในตลาดหุ้นจีนและกองทุนหุ้นจีน เช่น K-CHINA และ K-CHX โดยมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นหลังจากตัวเลขการส่งออกของจีนดีขึ้น และรัฐบาลจีนแสดงความชัดเจนในการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจอื่น ๆ ของจีนและรายละเอียดในแต่ละมาตรการว่าจะให้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังหรือไม่ นอกจากนี้ ยังต้องดูว่านักลงทุนจะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจีนอย่างต่อเนื่องและมีนัยสำคัญหรือไม่


• ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้

o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GHEALTH* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ลงทุนในบริษัท Healthcare ครอบคลุมทั้งกลุ่ม Defensive เช่น Pharmaceutical, Healthcare Services และกลุ่ม Growth เช่น MedTech, Biotechnology

o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-VIETNAM* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ลงทุนหุ้นเวียดนามที่รับประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจ เช่น บริโภคภายใน การเงิน อุตสาหกรรม

o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GINFRA* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ซึ่งลงในบริษัทด้านโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก เช่น ท่อก๊าซ โรงไฟฟ้า สนามบิน

o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GOLD** (ระดับความเสี่ยง 8 จาก 8 ระดับ) เพื่อรับกับความผันผวนจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน


• สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลต่อความผันผวนของตลาดหุ้น หรือกังวลกับความเสี่ยงในการลงทุน

o หากรับความเสี่ยงได้บ้าง หรือเป็นเงินลงทุนที่ถือได้อย่างน้อย 1 ปี ขอแนะนำกองทุนตราสารหนี้ ได้แก่

 กองทุน K-FIXED-A** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ในกรณีที่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงจากการลงทุนต่างประเทศ

 กองทุน K-FIXEDPLUS** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ในกรณีที่ต้องการเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนต่างประเทศหรือรับความเสี่ยงจากการลงทุนต่างประเทศได้


• หากรับความเสี่ยงได้ต่ำ หรือต้องการหลีกเลี่ยงทางเลือกที่มีความผันผวน หรือต้องการพักเงินสั้นๆ เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้ง แนะนำ

o กองทุน K-SF-A** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ซึ่งเหมาะกับการลงทุน 1-3 เดือน

o กองทุน K-SFPLUS** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) เหมาะกับการลงทุน 3-6 เดือน


ขอขอบคุณข้อมูลจาก Bloomberg

Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”

*กองทุน K-GHEALTH, K-VIETNAM และ K-GINFRA มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน

**กองทุน K-FIXED-A, K-FIXEDPLUS, K-SF-A, K-SFPLUS และ K-GOLD มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด


คำเตือน


ผู้เขียน

K WEALTH
Back to top