ที่มามุมมองเชิงบวกและคำแนะนำให้ลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น
ปลายปี 2023 เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีสัญญาณว่าจะเติบโตเด่นในปี 2024 จึงทำให้ K WEALTH แนะนำเข้าลงทุนในหุ้นญี่ปุ่นด้วยปัจจัยหนุน ดังนี้
• ตัวเลขค้าปลีกที่เติบโตเพิ่มขึ้นโดยระหว่างเดือน ก.ค.-พ.ย. 2023 เติบโต 5-7% (YoY) พร้อมหนุนด้วยภาคท่องเที่ยวซึ่งตัวเลขนักท่องเที่ยวกลับมาเพิ่มขึ้นแตะระดับ 2.52 ล้านคนต่อเดือน ใกล้เคียงก่อน COVID-19 ที่ประมาณ 2.8-3.0 ล้านคนต่อเดือน
• อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 3.0-3.5% (YoY) ทำให้นักวิเคราะห์คาดว่าปี 2024 ค่าจ้างจะเพิ่มขึ้น 2.5% และกลับไปหนุนการใช้จ่ายภายใน
• แต่อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่งเริ่มเพิ่มขึ้น ทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นยังดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายเพื่อให้แน่ใจว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับมายืนเหนือระดับเป้าหมายที่ 2% ส่งให้ไม่มีแรงกดดันจากปัจจัยนี้ต่อตลาดหุ้น
• ครึ่งหลังของปี 2023 บริษัทขนาดใหญ่ทั่วโลกเผยว่ากำลังเพิ่มสต๊อกสินค้า อีกทั้งตัวเลขภาคส่งออกพลิกสู่แดนขยายตัวอีกครั้งในเดือน ก.ย. 2023 ที่ระดับ 4.3% (YoY) โดยคาดการณ์ว่าแนวโน้มการฟื้นตัวจะดำเนินต่อไปในปี 2024
อัตราส่วน P/E และประมาณการ EPS (Forward EPS)
Source: Bloomberg as of 03/09/2024
• ระดับ P/E ของดัชนี TOPIX เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2023 อยู่ที่ระดับ 15.93 เท่า ต่ำกว่าระดับสูงสุดเมื่อกลางปี 2023 ที่ 17.59 เท่า และค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 16.72 เท่า สะท้อนว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีมูลค่าที่ไม่แพง
• การเติบโตที่สะท้อนผ่านประมาณการ EPS (Forward EPS) ของปี 2024 อยู่ในแนวโน้มถูกปรับเพิ่มอย่างค่อยเป็นค่อยไปมาอยู่ที่ 155.86 เยนต่อหุ้น ซึ่งเติบโตประมาณ 4% และด้วยปัจจัยหนุนทั้งภายในและภายนอก ทำให้นักวิเคราะห์ปรับเพิ่มประมาณการ EPS ต่อไป
เมื่อเศรษฐกิจกลับมาเติบโต หนุนกำไรบริษัทให้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่มูลค่าตลาดหุ้นอยู่ในระดับที่เหมาะสม ทำให้ K WEALTH แนะนำลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นไปเมื่อเดือน ม.ค. 2024 ผ่านกองทุน K-JPX-A(A)
สัดส่วนอุตสาหกรรมในกองทุน NEXT FUNDS TOPIX Exchange Traded Fund
Source: Bloomberg as of 03/09/2024
• กองทุน K-JPX-A(A) ลงทุนผ่านกองทุนหลัก NEXT FUNDS TOPIX Exchange Traded Fund ซึ่งเน้นทำผลตอบแทนตามดัชนีอ้างอิง TOPIX โดยมีสัดส่วนลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรม 5 อันดับแรก ดังนี้ 1.) Industrials 24.60% 2.) Consumer Discretionary 17.97% 3.) Information Technology 13.81% 4.) Financials 13.01% และ 5.) Health Care 7.13%
ปัจจัยที่ปรับคำแนะนำขายทำกำไรตลาดหุ้นญี่ปุ่น
ผลตอบแทนกองทุน K-JPX-A(A) ตั้งแต่วันที่เริ่มแนะนำให้เข้าลงทุน (1 ม.ค. 2024) ถึงวันที่แนะนำให้ขายทำกำไร (30 ส.ค. 2024) ปรับตัวขึ้น 14.67% หนุนด้วยกลุ่มหลักอย่าง Financials ที่ปรับตัวขึ้นถึง 32.23% ตามด้วย Industrials ปรับตัวขึ้น 20.18%, Health Care 19.45%, Consumer Discretionary ปรับตัวขึ้น 10.27% และ Information Technology ปรับตัวขึ้น 12.10%
ไตรมาสที่ผ่านมา เศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจน ทำให้ K WEALTH แนะนำขายทำกำไรในตลาดหุ้นญี่ปุ่นด้วยปัจจัยลบ ดังนี้
• คาดการณ์ GDP ปี 2024 เติบโตเพียง 0.1% กระทบกลุ่ม Consumer Discretionary จากการบริโภคภายในชะลอตัว และการส่งออกเติบโตเพียงแค่ 0.3% จากที่เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักอย่างสหรัฐฯ และจีนที่เริ่มชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อกลุ่ม Industrials ที่พึ่งพาการส่งออก
• ประกอบกับธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวด และมีแนวโน้มใช้นโยบายการเงินเข้มงวดต่อไปในอนาคต ส่งให้เงินเยนปรับตัวแข็งค่า โดยเคลื่อนไหวจากที่อ่อนค่าสูงสุดราว 161.3 เยนต่อดอลลาร์ มาที่ 146.7 เยนต่อดอลลาร์
• ทำให้การปรับประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียน (Forward EPS) ของไตรมาสที่ผ่านมาเริ่มมีการปรับลดลงจาก 182.5 เยนต่อหุ้น เหลือ 181.4 เยนต่อหุ้น หลังการแข็งตัวของค่าเงินเยนในช่วงเดือนที่ผ่านมา จากสถิติพบว่าเมื่อค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น 1% จะส่งผลให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนในญี่ปุ่นลดลง 0.4-0.6% กระทบหุ้นในกลุ่ม Industrials และ Information Technology
แม้อัตราส่วน P/E ปัจจุบันอยู่ที่ 14.94 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี แต่ด้วยปัจจัยลบทั้งหมดที่กล่าวมานี้ K WEALTH จึงแนะนำขายทำกำไรในตลาดหุ้นญี่ปุ่น
อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินเยนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
Source: Bloomberg as of 03/09/2024
มุมมองการลงทุนในปัจจุบัน
• มีสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะภาคการผลิตที่อ่อนแอและตลาดแรงงานที่ชะลอตัว นอกจากนี้ยังคงมีความไม่แน่นอนในการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน เมื่อพิจารณาสถิติในช่วง 1-3 เดือนก่อนการเลือกตั้ง พบว่าตลาดหุ้นมักจะมีความผันผวนเนื่องจากนโยบายต่างที่ไม่ชัดเจน
• K WEALTH จึงเห็นโอกาสสำหรับการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา เช่น หุ้นในกลุ่ม Healthcare และ Infrastructure นอกจากนี้ยังมีหุ้นในกลุ่ม Mid-small cap growth ที่จะได้รับประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย
ดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหรัฐฯ และยุโรป
Source: Bloomberg as of 03/09/2024
• ตลาดหุ้นเวียดนามยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ทั้งในด้านการผลิตและการส่งออก ซึ่งได้รับประโยชน์จากการขึ้นกำแพงภาษี (Tariff) ระหว่างสหรัฐฯ และจีนในช่วงหลังการเลือกตั้ง
• สำหรับนักลงทุนที่ต้องการรับมือกับความผันผวนของการเลือกตั้งสหรัฐฯ และสงครามในตะวันออกกลาง ทองคำจึงเป็นอีกสินทรัพย์ที่มีความน่าสนใจ
สำหรับกองทุนแนะนำ ที่ทาง K WEALTH มีดังนี้
• ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้
o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GHEALTH* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ลงทุนในบริษัท Healthcare ครอบคลุมทั้งกลุ่ม Defensive เช่น Pharmaceutical, Healthcare Services และกลุ่ม Growth เช่น MedTech, Biotechnology
o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-VIETNAM* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ลงทุนหุ้นเวียดนามที่รับประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจ เช่น บริโภคภายใน การเงิน อุตสาหกรรม
o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GINFRA* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ซึ่งลงในบริษัทด้านโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก เช่น ท่อก๊าซ โรงไฟฟ้า สนามบิน
o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-HIT-A(A)* (ระดับความเสี่ยง 6 จาก 8 ระดับ) ซึ่งลงในหุ้น Megatrends สำคัญตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก
o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GOLD** (ระดับความเสี่ยง 8 จาก 8 ระดับ) เพื่อรับกับความผันผวนจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน
• สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลต่อความผันผวนของตลาดหุ้น หรือกังวลกับความเสี่ยงในการลงทุน
o หากรับความเสี่ยงได้บ้าง หรือเป็นเงินลงทุนที่ถือได้อย่างน้อย 1 ปี ขอแนะนำกองทุนตราสารหนี้ ได้แก่
กองทุน K-FIXED-A** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ในกรณีที่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงจากการลงทุนต่างประเทศ
กองทุน K-FIXEDPLUS** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ในกรณีที่ต้องการเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนต่างประเทศหรือรับความเสี่ยงจากการลงทุนต่างประเทศได้
• หากรับความเสี่ยงได้ต่ำ หรือต้องการหลีกเลี่ยงทางเลือกที่มีความผันผวน หรือต้องการพักเงินสั้นๆ เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้ง แนะนำ
o กองทุน K-SF-A** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) ซึ่งเหมาะกับการลงทุน 1-3 เดือน
o กองทุน K-SFPLUS** (ระดับความเสี่ยง 4 จาก 8 ระดับ) เหมาะกับการลงทุน 3-6 เดือน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Bloomberg
Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”
*กองทุน K-GHEALTH, K-VIETNAM, K-HIT-A(A) และ K-GINFRA มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
**กองทุน K-FIXED-A, K-FIXEDPLUS, K-SF-A, K-SFPLUS และ K-GOLD มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด