รู้หรือไม่ว่า ซื้อกอง Passive อาจไม่ได้ดีที่สุดในทุกสถานการณ์
นักลงทุนหลายท่านคงพอทราบว่ากองทุน Passive หลายๆ ตัวในตลาดมักอ้างอิงตามดัชนีแต่ละประเทศต่างๆ ซึ่งรู้หรือไม่ว่าปัจจุบันดัชนีเหล่านี้มีการกระจุกตัวของหุ้นและอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ยกตัวอย่าง เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำ All time High ในช่วงที่ผ่านมา เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างกระจุกตัวในกลุ่ม AI เช่น Nvidia (NVDA), Apple (AAPL), Microsoft (MSFT), Alphabet (GOOGL), and Broadcom (AVGO)
ปัจจุบัน หุ้นที่มีอันดับใหญ่ที่สุด 10 อันดับแรก ใน S&P500 คิดเป็น market cap รวมประมาณ 37% ของทั้งตลาด จากสิ้นปี 2023 ที่ 27% และมากขึ้นกว่า 2.6 เท่าหรือคิดเป็นเพียงแค่ 14% เมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อน นั่นหมายความว่า หากนักลงทุนลงทุน 100$ ในกองทุนที่อ้างอิงกับดัชนี S&P500 ตอนนี้ 37$ จะถูกนำไปลงทุนในหุ้นเพียง 10 ตัวนี้ นับว่าความเสี่ยงของการกระจุกตัวในหุ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจะดีกว่าไหมถ้าเปลี่ยนจากการลงทุนในกองทุนที่อ้างอิงดัชนี อย่าง Passive มาเป็นกองทุน Active ในกลุ่มที่มีโอกาสเติบโต มีการคัดเลือกหุ้นที่ดีมีคุณภาพ และกระจายการลงทุนมากกว่า
ดัชนีหลายประเทศมีการกระจุกตัวในหุ้นบางตัวและบางอุตสาหกรรม
จะเลือกกอง Active ต้องดูอะไรบ้าง
1) กลยุทธ์การลงทุนต้องชัดเจน
• Philosophy ของกองทุน หรือกลยุทธ์ของผู้จัดการกองทุน เพื่อให้เห็นแนวคิดและวิธีการคัดเลือกหุ้น
• ลงทุนในหุ้นอะไรบ้าง สไตล์ไหน : จะต้องแตกต่างจาก Benchmark การที่กองทุน active จะชนะตลาดได้ จะต้องมีการลงทุนที่แตกต่างต่าง BM ถ้าหากกองทุนมีการลงทุนที่ไม่แตกต่างจาก BM ก็ไม่ต่างจากการลงทุนในกองทุน passive แต่เราเสียค่าธรรมเนียมแพง จะทำให้กอง active นั้น under perform BM ได้
• ทีมผู้จัดการกองทุนความสามารถเป็นอย่างไร
2) เปรียบเทียบ Performance และตัวเลขสถิติสำคัญต่างๆกับ Benchmark และกองทุนประเภทเดียวกัน :
•ผลตอบแทนย้อนหลังดีกว่าหรือแย่กว่า benchmark และกองทุนประเภทเดียวกัน พิจารณาทั้งผลตอบแทนระยะสั้นและระยะยาว โดยผลตอบแทนระยะสั้นจะสะท้อนว่ากองทุนดังกล่าวกำลังได้ประโยชน์จากภาวะตลาดในปัจจุบันหรือไม่ แต่ผลตอบแทนระยะยาวจะชี้ให้เห็นความสม่ำเสมอของผลตอบแทนของกองทุน ทั้งนี้ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้เป็นตัวการันตีผลตอบแทนในอนาคต และนักลงทุนควรทำความเข้าใจที่มาที่ไปของผลตอบแทนก่อนตัดสินใจทำการซื้อหรือขาย
• ตัวเลขสถิติสำคัญต่างๆ ซึ่งสามารถหาดูได้จากหนังสือชี้ชวนโครงการ
Maximum drawdown (MDD) : MDD ช่วยให้เราสามารถประเมินได้ว่าในสถานการณ์ที่แย่ กองทุนเคยปรับตัวลดลงมากขนาดไหน ยิ่งน้อยยิ่งดี แต่ควรระมัดระวังในการเปรียบเทียบหากกองทุนดังกล่าวเปิดมาไม่ถึง 5 ปี
Standard Deviation (S.D.) : ช่วยบอกว่ากองทุนมีความผันผวนมากน้อยแค่ไหน ยิ่งน้อยยิ่งดี
Sharp ratio : คือผลตอบแทนเทียบเปรียบเทียบกับความเสี่ยง ยิ่งมากยิ่งดี แสดงว่าผลตอบแทนดีเมื่อเทียบกับความเสี่ยง
Alpha : ความสามารถในการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนว่าทำได้สูงกว่าหรือต่ำกว่าตลาดหรือตัวชี้วัดโดรวมเท่าไหร่ เช่นค่าอัลฟ่า 3% หมายความว่ากองทุนให้ผลตอบแทนมากกว่าตลาด 3% เป็นต้น ดังนั้นเราควรเลือกกองทุนที่ให้ค่าอัลฟ่ามากๆ
3) กองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวหรือกระจายตัวมากเกินไปหรือไม่
• กระจุกตัวมากไป ผันผวนมาก หรือที่เรียกว่าซิ่งนั่นเอง แต่ถ้ากระจายตัวมากไป ผลตอบแทนก็ไม่หวือหวา
• แล้วเท่าไหร่ถึงพอดี ? สำหรับกองทุนหุ้น หากมีหุ้นราว 40-60 ตัว ถือว่ากระจายความเสี่ยงเพียงพอ อย่างไรก็ตามหากกองทุนถือครองหุ้นบริษัทขนาดเล็กลง กองทุนอาจถือครองหุ้นมากกว่านี้ก็ได้ นอกจากนี้ในกรณีของกองทุนตราสารหนี้จำนวนสินทรัพย์ที่ถือครองอาจเพิ่มถึงร้อยเลยก็เป็นได้ ดังนั้นเลือกที่เหมาะสมกับสไตล์การลงทุนและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของเรา
4) ค่าธรรมเนียมถูกหรือแพงไม่ได้แปลว่าดีกว่าเสมอไป
• ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-End Fee) / ต่อครั้งที่ทำรายการซื้อ
• ค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการ (Management Fee) / ต่อปี
• ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่นค่าธรรมเนียมผู้ดูแลผลประโยชน์ และค่าธรรมเนียมนายทะเบียน / ต่อปี นักลงทุนสามารถเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมกับกองทุนประเภทเดียวกัน แต่ควรจะพิจารณาค่าธรรมเนียมต่างๆ ควบคู่ไปกับปัจจัยอื่นๆ ไม่ใช่เพียงถูกหรือแพง โดยเฉพาะผลการบริหารงานในอดีต และวิธีการบริหาร ค่าธรรมเนียมควรเป็นปัจจัยหนึ่งของการตัดสินใจเท่านั้น ไม่ใช่ทุกอย่างของการตัดสินใจ
แล้วโอกาสลงทุนตอนนี้อยู่ที่ไหน?
เปรียบเทียบ Fwd P/E ของแต่ละประเทศ
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี

จะเห็นว่าตลาดที่ปรับตัวขึ้นมามากในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาได้แก่ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และอินเดีย ส่งผลให้ Valuation เริ่มเหนือค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ อีกทั้งยังเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างกระจุกตัวในหุ้นบางกลุ่มบางตัว ดังนั้นจะดีกว่าไหมถ้าเปลี่ยนจากการลงทุนในกองทุนที่อ้างอิงดัชนี อย่าง Passive มาเป็นกองทุน Active ในกลุ่มที่มีโอกาสเติบโต มีการคัดเลือกหุ้นที่ดีมีคุณภาพ และกระจายการลงทุนมากกว่า
เราแนะนำ ลงทุนในตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโต ราคายังปรับเพิ่มขึ้นไม่มาก และ valuation ยังไม่แพง อย่างตลาดหุ้นยุโรป โดย 1 ปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นยุโรป Stoxx Europe 600 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับ S&P500 Nikkei225 และ Sensex ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 26.7% , 25.9% และ 22.5% ตามลำดับ นับว่าตลาดหุ้นยุโรปมีความน่าสนใจโดยเปรียบเทียบและจาก Growth stories สนับสนุนดังต่อไปนี้
1. ECB มีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยก่อน Fed คาดว่าอาจจะลด 2 ครั้งในปีนี้
2. Event กระตุ้นเศรษฐกิจค่อนข้างมากในปีนี้ เช่น ฟุตบอล ยูโร 2024 ที่เยอรมัน, โอลิมปิก ที่ฝรั่งเศส และคอนเสิร์ต Talor swift ในหลายประเทศ เช่น อิตาลี เยอรมัน ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวและหนุนการบริโภค
3. เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยเฉพาะในภาคการบริโภค
It’s M-EURO-G
ทำไมถึงต้องเป็น M-EURO-G
จุดเด่น
1. กลยุทธ์การลงทุนมีความยืดหยุ่น กองทุนหลัก BGF Continental European Flexible Fund o มีความยืดหยุ่นในการลงทุน ทั้งแบบ Income และ Growth
o มีทั้ง หุ้นขนาด ใหญ่ กลาง เล็ก
o ไม่จำกัดอุตสาหกกรม สามารถปรับเปลี่ยนตามภาวะตลาด
o ควบคุมความเสี่ยงลงทุนในหุ้นแต่ละตัวสูงสุดไม่เกิน 10%
o มีการผสาน ESG เข้ามาในกระบวนการลงทุน
2. ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 5 ปีของกองทุนหลัก MEURO-G ชนะดัชนีหุ้นยุโรป (Passive) ชัดเจน (กองทุนหลักติดอันดับ Morningstar 4 ดาว)

Source : Morningstar as of 31 May 2024
3. พอร์ตการลงทุนได้ประโยชน์จากภาวะตลาดในปัจจุบัน กองทุนหลักเน้นลงทุนในกลุ่ม Industrial , Consumer Discretionary และ Technology
• กลุ่ม Tech หลายตัวในกองทุนโอกาสเติบโตไม่แพ้สหรัฐฯ แต่มูลค่ายังไม่แพงเท่า และได้ประโยชน์จากธีมลดดอกเบี้ย
• กลุ่ม Consumer Discretionary ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัว รวมถึง โอลิมปิก
• กลุ่ม Industrial ได้ประโยชน์จาก กฎเกณฑ์ต่างๆที่สหภาพยุโรปบังคับใช้เกี่ยวกับ ESG
เปรียบเทียบกองทุนยุโรป Active อื่นๆ
| K-EUROPE-A
| K-EUSMALL
| M-EURO-G
|
Master Fund
| Allianz Europe Equity Growth, Class AT-EUR
| Allianz Europe Equity Growth, Class AT-EUR
| BGF Continental European Flexible Fund Class I2 EUR
|
Investment Policy
| เน้นลงทุนระยะยาวในหุ้นเติบโตสูงขนาดใหญ่คุณภาพสูงของยุโรป โดยกองทุนหลักใช้กระบวนการวิเคราะห์แบบ Bottom-up
| เน้นลงทุนระยะยาวในหุ้นเติบโตสูงขนาดใหญ่คุณภาพสูงของยุโรป โดยกองทุนหลักใช้กระบวนการวิเคราะห์แบบ Bottom-up
| เน้นลงทุนในบริษัทที่มีรายได้หรือจดทะเบียนในยุโรป ลงทุนแบบยืดหยุ่นไม่จำกัดขนาดหุ้นที่ลงทุน (ใหญ่-กลาง-เล็ก)
|
Top 5 sectors
| • Industrials, 28.5% • Information Technology, 23.9% • Healthcare, 18.2% • Consumer Discretionary, 10.9% • Materials, 6.3%
| • Industrials, 30,2% • Financials, 14.0% • Information Technology, 13.9% • Materials, 9.5% • Communication Services, 8.2%
| • Industrials, 30,2% • Financials, 14.0% • Information Technology, 13.9% • Materials, 9.5% • Communication Services, 8.2%
|
No. of holding
| 40-70 ตัว
|
| ปัจจุบัน 42 ตัว
|
Top 5 Holdings
| ASML 9.87% NOVO NORDISK 9.87% DSV 4.13% SIKA 4.09% ATLAS COPCO 4.01%
| Coface 3.5% BAWAG 3.5% Planisware3.4% Hypoport3.1% Bufab3.0%
| NOVO NORDISK 9.76% ASML 8.43% LINDE 4.95% LVMH 4.42% COMPAGNIE FINANCIERE RICHEMONT 3.77%
|
Management Fee
| 1.605% p.a
| 1.605% p.a
| 1.605% p.a
|
Front-end fee
| 1.50%
| 1.50%
| 1.50%
|