I: K-VIETNAM ปรับตัวขึ้นแรงกว่าตลาด
13 มี.ค. 67 ราคากองทุน VIETNAM +3.16%เทียบกับวันก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากกว่าตลาดหุ้นเวียดนามหรือดัชนีชี้วัด ที่ปรับตัวขึ้น 2.05% (VN Index) และ 2.42% (VN 30) สะท้อนความสามารถของผู้จัดการกองทุนที่เลือกลงทุนหุ้นในตลาดหุ้นเวียดนามเอง โดยไม่ลงทุนผ่านกองทุนหลักของ บลจ.ต่างประเทศ โดยมี 2 หุ้น ที่กองทุนลงทุนมากที่สุด 5 ลำดับแรกตามที่เปิดเผยใน Fund Fact Sheet (ณ 29 ก.พ. 67) ที่ปรับตัวขึ้นโดดเด่นในวันที่ 13 มี.ค. 67 ได้แก่
• หุ้น FPT Corp ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ปรับตัวขึ้น +4.56%เทียบกับวันก่อนหน้า
• หุ้น Asia Commercial Bank +3.36%เทียบกับวันก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม นอกจากความสามารถของผู้จัดการกองทุนในการคัดเลือกหุ้นที่ลงทุนแล้ว ก็ยังเกิดจากการที่ตลาดหุ้นเวียดนามโดยรวมมีการปรับตัวขึ้นด้วย โดยปัจจัยที่สนับสนุนการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นเวียดนาม ได้แก่
(1) ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างเวียดนามและญี่ปุ่น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของเวียดนาม ได้กล่าวหลังประชุมระหว่างสองประเทศ ภายใต้แนวคิด Vietnam – Investment Destination ที่จัดขึ้น ณ กรุงโตเกียวในวันอังคารที่ 12 มี.ค. 67 ว่าทั้งสองประเทศได้จับมือเป็นพันธมิตรที่สำคัญต่อกัน ส่งผลให้เวียดนามกลายเป็นพันธมิตรที่สำคัญของญี่ปุ่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และถูกจับตาว่าจะได้รับการสนับสนุนทางเศรษฐกิจจากญี่ปุ่นในหลายด้าน ส่งผลให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นของเวียดนามมีแนวโน้มเติบโตต่อไปในอนาคต
(2) คง VAT 0% สำหรับภาคส่งออก
Vietnam Chamber of Commerce and Industry (VCCI) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลภาพรวมการค้าของเวียดนาม เสนอการคงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในส่วนของภาคส่งออก ไว้ที่ระดับ 0% หลังจากที่มีแนวโน้มว่าจะปรับขึ้นในเดือน พ.ค. 67 ซึ่งการไม่เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม คาดว่าจะช่วยคงความสามารถในการแข่งขันของผู้ให้บริการในเวียดนามกับคู่แข่งจากต่างประเทศได้
II: กองทุน K-INDIA ปรับตัวลง
กองทุนหลักของกองทุน K-INDIA-A(A) และ K-INDIA-A(D) (กองทุนหลัก คือ Goldman Sachs India Equity) ณ 13 มี.ค. 67 มีการปรับตัวลง -3.05%เทียบกับวันก่อนหน้า ซึ่งส่งผลให้ราคากองทุน K-INDIA-A ณ 13 มี.ค. 67 ซึ่งจะประกาศคืนวันที่ 14 มี.ค. 67 คาดว่ามีการปรับตัวลงในระดับที่ใกล้เคียงกัน
การปรับตัวลงของกองทุนหลักดังกล่าว สอดคล้องกับการปรับตัวของดัชนีตลาดหุ้นอินเดีย เช่น Nifty 50 ที่ปรับตัวลง -1.51%เทียบกับวันก่อนหน้า โดยการที่กองทุนหลักมีการปรับตัวลงมากกว่าดัชนี เนื่องจากเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนเชิงรุก ไม่ได้ลงทุนหุ้นตามดัชนี จึงมีความผันผวนสูงกว่า
โดยสาเหตุที่ตลาดหุ้นอินเดียมีการปรับตัวลง เนื่องจาก ก.ล.ต.ของอินเดีย เปิดเผยว่าเริ่มมีสัญญาณที่ชี้ว่าอาจเกิดภาวะฟองสบู่ในหุ้นกลุ่ม SME รวมถึงการปั่นราคาหุ้นในกลุ่มนี้ทำให้ราคามีการปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าดัชนีหรือระดับที่เหมาะสม โดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ก.ล.ต.ของอินเดีย เคยผ่อนคลายกฎระเบียบให้แก่บริษัทกลุ่ม SME เพื่อจูงใจให้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงแรก
คำแนะนำการลงทุน
กองทุนหุ้นเวียดนาม เช่น K-VIETNAM ทีม K WEALTH มีมุมมองการลงทุนค่อนข้างเป็นบวก โดยมีคำแนะนำ ดังนี้
• นักลงทุนที่มีการลงทุนในกองทุนหุ้นเวียดนาม สัดส่วนน้อยกว่า 30%ของเงินลงทุนทั้งหมด หรือไม่มีการลงทุนในกองทุนหุ้นเวียดนาม แนะนำหาจังหวะทยอยลงทุนเพิ่มในอนาคต ส่วนเงินลงทุนปัจจุบันแนะนำให้ถือต่อ
• นักลงทุนที่มีการลงทุนในกองทุนหุ้นเวียดนาม สัดส่วนมากกว่า 30%ของเงินลงทุนทั้งหมด หากมีกำไรแนะนำทยอยขายบางส่วนเพื่อลดสัดส่วนให้ต่ำกว่า 30% ของเงินลงทุนทั้งหมด หรือหากปัจจุบันขาดทุนอยู่สามารถรอจังหวะที่กองทุนปรับตัวขึ้นเพื่อลดสัดส่วนได้
กองทุนหุ้นอินเดีย เช่น K-INDIA-A(A) K-INDIA-A(D) K-INDX ทีม K WEALTH มีมุมมองการลงทุนเป็นกลาง โดยมีคำแนะนำ ดังนี้
• นักลงทุนที่มีการลงทุนในกองทุนหุ้นอินเดีย สัดส่วนน้อยกว่า 30%ของเงินลงทุนทั้งหมด หากมีกำไรแนะนำทยอยขายทำกำไร หากยังขาดทุนแนะนำให้ถือและสามารถทยอยลงทุนเพื่อถัวเฉลี่ยต้นทุนได้ หากเป็นเงินลงทุนระยะยาว
• นักลงทุนที่มีการลงทุนในกองทุนหุ้นอินเดีย สัดส่วนมากกว่า 30%ของเงินลงทุนทั้งหมด หากมีกำไรหรือขาดทุนน้อยกว่า 10% แนะนำทยอยขายบางส่วนเพื่อลดสัดส่วนให้ต่ำกว่า 30% ของเงินลงทุนทั้งหมด หากปัจจุบันขาดทุนมากกว่า 10% สามารถรอจังหวะที่กองทุนปรับตัวขึ้นเพื่อทยอยลดสัดส่วนได้ โดยนำเงินจากการขายคืน (หรือสับเปลี่ยน) ไปลงทุนกองทุนแนะนำอื่นของ K WEALTH เช่น K-VIETNAM ที่เพิ่งมีการปรับตัวขึ้น
สำหรับผู้ที่มีเงินลงทุนต้องการลงทุนเพิ่ม
• ผู้ที่ต้องการเน้นลงทุนในกองทุนหุ้น แนะนำกองทุน K-HIT ที่เน้นลงทุนโดยคัดเลือกธีมการลงทุน (Theme) กลุ่มอุตสาหกรรม (Sector) และหุ้น (Stock) ที่เหมาะสม หรือกองทุน K-VIETNAM ที่เพิ่งมีการปรับตัวขึ้น
• ผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยง แนะนำกองทุน WP-ULTIMATE ที่แม้เน้นลงทุนหุ้นแต่มีการกระจายความเสี่ยงลงทุนในหุ้นที่หลากหลายภูมิภาค
Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : KAsset