กนง. มติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.5%
คณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารแห่งประเทศไทยมีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.5% ต่อปี โดยประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายระดับปัจจุบันเหมาะสมกับเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวกลับสู่ระดับศักยภาพ เอื้อให้เงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมายอย่างยั่งยืน สร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาว และป้องกันการสะสมความไม่สมดุลทางการเงิน อีกทั้งยังช่วยรักษา ขีดความสามารถของนโยบายการเงินในการรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้า
ประมาณการเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง หนุนด้วยบริโภคภาคเอกชน
คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2566 จะขยายตัว 2.4% และปี 2567 ขยายตัว 3.2% โดยหากรวมผลของนโยบาย Digital wallet เศรษฐกิจปี 2567 จะขยายตัว 3.8% ลดลงจากประมาณการก่อนหน้าที่ 4.4% ภาพรวมเศรษฐกิจยังฟื้นตัวด้วยแรงหนุนจากการบริโภคภาคเอกชน (การจับจ่ายใช้สอยในประเทศ) ที่ขยายตัวดีตามการใช้จ่ายในหมวดบริการ รวมถึงการจ้างงานและรายได้แรงงานที่ปรับดีขึ้น ด้านภาคส่งออกและท่องเที่ยวฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด เนื่องจากเศรษฐกิจจีนและวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์โลกที่ไม่ฟื้นตัวเต็มที่
ในระยะต่อจากนี้มองว่าภาคส่งออกและท่องเที่ยวจะกลับมาขยายตัว แต่มีความเสี่ยงที่อาจไม่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเท่าที่คาดจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง
เงินเฟ้อมีแนวโน้มอยู่ในกรอบ ปี 67 คาดที่ 2.0%
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในกรอบเป้าหมาย คาดว่าปี 2566 จะอยู่ที่ 1.3% และปี 2567 ที่ 2.0% หากรวมผลของนโยบาย Digital wallet คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2567 จะอยู่ที่ 2.2% ลดจากประมาณการก่อนหน้าที่ 2.6% โดยอัตราเงินเฟ้อปี 2566 ที่ลดลงเป็นผลจากฐานที่สูงในปีก่อนหน้าและมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพด้านพลังงาน ส่วนราคาอาหารสดต่ำกว่าคาด ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (ไม่คิดการเปลี่ยนแปลงราคาพลังงานและอาหาร) ปี 2566 คาดไว้ที่ 1.3% และปี 2567 ที่ 1.2%
จากนี้ยังต้องติดตามต้นทุนอาหารที่อาจปรับสูงขึ้นจากปรากฏการณ์เอลนีโญ รวมถึงความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่อาจส่งผลให้ราคาพลังงานโลกปรับสูงขึ้น
มุมมองการลงทุนตลาดหุ้นไทย
ประมาณการเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องไปถึงปีหน้าด้วยปัจจัยหนุนจากการบริโภคภายใน การส่งออกและท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว จะเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทยในปีหน้า ซึ่งสะท้อนผ่านการปรับประมาณการกำไรต่อหุ้นของดัชนี SET ที่เริ่มทรงตัวเมื่อช่วงกลางเดือน พ.ย. หลังลดลงมาตลอดในช่วงก่อนหน้า ขณะเดียวกันด้วยแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในกรอบเป้าหมาย ช่วยให้ไม่ต้องมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นไทยในระยะต่อจากนี้
อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยยังโดนแรงกดดันจากความไม่มั่นใจของนักลงทุนต่างชาติต่อกระแสข่าวเชิงลบ ซึ่งจะเห็นว่ารัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแลมีความตั้งใจแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง ซึ่งอาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง แต่หากแก้ไขได้ตามที่วางแผนไว้ จะช่วยเรียกความเชื่อมั่นและเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติกลับมาได้
K WEALTH ยังมีมุมมอง Slightly positive ต่อการลงทุนตลาดหุ้นไทย
• สำหรับนักลงทุนที่มีการลงทุนในกองทุนหุ้นไทย แนะนำให้ถือหรือทยอยลงทุน
• ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่มีการลงทุนในกองทุนหุ้นไทย แนะนำให้ทยอยลงทุน
มุมมองการลงทุนตราสารหนี้ไทย
ด้วยแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยโลกที่ใกล้จุดสูงสุด และอัตราเงินเฟ้อไทยที่ชะลอตัวเข้าสู่กรอบเป้าหมาย ทำให้โอกาสขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีจำกัด โดยนักลงทุนในตลาดส่วนใหญ่มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยจะคงไว้ที่ระดับ 2.5% ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่แม้ปรับตัวลงมารับมุมมองการคงอัตราดอกเบี้ย แต่ยังอยู่ในระดับสูงโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับในอดีต จึงมีความน่าสนใจลงทุน เพื่อรับอัตราผลตอบแทนที่สูง ส่วนนโยบายกระตุ้นที่ยังต้องใช้เวลา ทำให้ความเสี่ยงด้านอุปทานพันธบัตรในระยะสั้นลดลง
K WEALTH มีมุมมอง Positive ต่อการลงทุนตราสารหนี้ไทย
• สำหรับนักลงทุนที่มีการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ไทย แนะนำให้ถือหรือลงทุนเพิ่มได้
• ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่มีการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ไทย แนะนำให้ลงทุนได้
คำแนะนำการลงทุน
• ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้
o นักลงทุนที่มีน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยน้อยกว่า 30 % แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-STAR เพื่อรับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ
o นักลงทุนต้องการลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน และรับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-PLAN2 และ K-PLAN3
• สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลต่อความผันผวนของตลาดหุ้น
o นักลงทุนที่ไม่สามารถรับความเสี่ยงการลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศได้ แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-CBOND ถือลงทุนอย่างน้อย 9-12 เดือน หรือ K-FIXED ถือลงทุนอย่างน้อย 1 ปี
o นักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศได้ แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-PLAN1 ถือลงทุนอย่างน้อย 9-12 เดือน หรือ K-FIXEDPLUS ถือลงทุนอย่างน้อย 1 ปี
o นักลงทุนที่ต้องการลงทุนกองทุนที่มีนโยบายเน้นลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ Investment Grade แนะนำลงทุนกองทุน K-GB ถือลงทุนอย่างน้อย 3-5 ปี
o ไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ แนะนำพักเงินในกองทุน K-SF ซึ่งเหมาะกับการลงทุน 1-3 เดือน เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้ง หรือกองทุน K-SFPLUS เหมาะกับการลงทุน 3-6 เดือน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก KAsset, ธนาคารแห่งประเทศไทย
Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”