เจาะลึกการลงทุน ESG ทำเงินได้จริงหรือ

ESG ไม่ใช่เรื่องของสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียว แต่ยังครอบคลุมไปถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำทั้งการศึกษา สาธารณสุข รวมถึงธรรมาภิบาลของบริษัทด้วย การลงทุนจึงนำ ESG มาใช้ด้วยการหาบริษัทที่สร้าง Positive change ควบคู่ไปกับการเติบโตที่น่าสนใจได้ Baillie Gifford ใช้สิ

• ESG ไม่ใช่เรื่องของสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียว แต่ยังครอบคลุมไปถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำทั้งการศึกษา สาธารณสุข รวมถึงธรรมาภิบาลของบริษัทด้วย การลงทุนจึงนำ ESG มาใช้ด้วยการหาบริษัทที่สร้าง Positive change ควบคู่ไปกับการเติบโตที่น่าสนใจได้


• Baillie Gifford หาบริษัทซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงแหล่งเงินทุน บริษัทเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งทำให้เยาวชนเข้าถึงการศึกษาง่ายขึ้น รวมถึงบริษัทที่ทำให้อากาศมีคุณภาพดีขึ้น การพัฒนาแหล่งน้ำสะอาด การเกษตรที่รบกวนสิ่งแวดล้อมน้อยลง




เชื่อว่าหลังโลกผ่าน COVID-19 มาแล้ว ทุกคนได้รู้จักกับคำว่า ESG มากขึ้น โลกการลงทุนพูดถึงคำนี้บ่อยขึ้นจนกลายเป็นมาตรฐานหนึ่งที่สถาบันการเงินระดับโลกนำมาประกอบใช้ในขั้นตอนการคัดเลือกหุ้นไปแล้ว วันนี้เลยขอพาไปรู้จักกับการลงทุนที่มี ESG เป็นส่วนประกอบ พร้อมกองทุนที่น่าสนใจเหมาะกับการลงทุนระยะยาว



รู้จัก ESG กันสักนิด

ทุกคนคงคุ้นเคยที่สุดกับ Environment ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องสิ่งแวดล้อมอันเป็นปัญหาใหญ่ที่ทุกประเทศเริ่มตระหนักแล้ว โดยเฉพาะปัญหาโลกร้อน ซึ่งมีหลายบริษัทมองเห็นโอกาสในสิ่งนี้เช่นกัน แต่ ESG ยังครอบคลุมถึงการพัฒนาสังคมให้น่าอยู่ขึ้น ซึ่งปัญหาความเหลื่อมล้ำเป็นปัญหาใหญ่ในหลายประเทศ ขณะที่การเป็นบริษัทที่มีธรรมาภิบาลก็มีความสำคัญมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นปัจจัยหลักที่สุดที่ส่งผลต่อเงินลงทุนโดยตรงก็ว่าได้ สิ่งเหล่านี้จึงทำให้ ESG มีความสำคัญต่อโลกการลงทุนมากขึ้นทุกวัน



การลงทุนธีม ESG ที่ Baillie Gifford นำมาใช้กับการลงทุน

Baillie Gifford คือ บริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีปรัชญาอันเป็นเอกลักษณ์ เน้นการลงทุนระยะยาว โดยเริ่มตั้งแต่การเลือกบุคลากรที่มีมุมมองการลงทุนระยะยาว ปลูกฝังให้มองว่าบริษัทที่เลือกมาจะเติบโตได้อย่างไร มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรโดยไม่เสียสมาธิกับปัจจัยระยะสั้น ไม่ใช้มุมมองแบบนักเก็งกำไร


โดย Baillie Gifford ได้นำมุมมองแนว ESG มาใช้กับการลงทุนในแง่การหาบริษัทที่สร้าง Positive change (การเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก) คือ บริษัทที่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกต่อทั้งสิ่งแวดล้อม ความเท่าเทียมทางสังคม ชีวิตประจำวันที่ดีขึ้น โดยผลิตภัณฑ์หรือบริการอาจไม่จำเป็นต้องสร้าง Positive change โดยตรง แต่อยู่เบื้องหลังก็ได้


จุดที่น่าสนใจขอเริ่มจากความเท่าเทียมในสังคม ทั้งทางการเงินและการเข้าถึงโอกาส Baillie Gifford หาบริษัทซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงแหล่งเงินทุน การโอนเงินที่ง่ายขึ้น ส่งเสริมการค้าออนไลน์ และยังรวมถึงบริษัทเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งทำให้เยาวชนเข้าถึงการศึกษาง่ายขึ้น


ความเป็นอยู่ที่ดีรวมไปถึงการพัฒนายารักษาโรคที่ดีขึ้น ประชาชนเข้าถึงสาธารณสุขง่ายขึ้นด้วยบริษัทพัฒนาฐานข้อมูลผู้ป่วย ซึ่งยิ่งช่วยให้การวินิจฉัยโรคแม่นยำขึ้น

ด้านสิ่งแวดล้อมอาจมีขอบเขตมากกว่าเพียงแค่คำว่าโลกร้อน แต่อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้อากาศมีคุณภาพดีขึ้น การพัฒนาแหล่งน้ำสะอาด การเกษตรที่รบกวนสิ่งแวดล้อมน้อยลง



การใช้ Positive change กับการลงทุนระยะยาวน่าสนใจหรือไม่?

อ้างอิงจากกองทุน K-CHANGE-A(A) ซึ่งลงทุนในกองทุนหลัก Baillie Gifford Positive Change Fund เป็นกองทุนที่ชัดเจนในการคัดเลือกหุ้นที่ต้องสร้าง Positive change จะโดยตรงหรืออยู่เบื้องหลังก็ได้ และต้องเป็นบริษัทที่มีโอกาสเติบโตสูงตามปรัชญาการคัดเลือกหุ้นของ Baillie Gifford ขณะที่กองทุนอื่นมักเป็นกองทุนที่เน้นธีมเดียวโดยเฉพาะกลุ่มพลังงานสะอาด ซึ่งจะมาลองเทียบความเคลื่อนไหวของราคากันหน่อย เพื่อดูว่าการมี Positive change ในการคัดเลือกหุ้นช่วยเพิ่มข้อดีอย่างไรบ้าง


กองทุนหลัก Baillie Gifford Positive Change Fund สร้างผลตอบแทนย้อนหลังระหว่างวันที่ 1 ม.ค. 2020 ถึง 11 พ.ย. 2023 ได้ 34.10% ถ้าเทียบกับธีมอื่นที่มาแรง และเกี่ยวกับพลังงานสะอาด ก็นับว่าโดดเด่นกว่า ไม่ว่าจะเป็น iShares Global Clean Energy ETF ที่มีผลตอบแทน 23.76%, KraneShares Electric Vehicle and Future Mobility ETF มีผลตอบแทน 3.49% จะมี Global X Lithium & Battery Tech ETF ที่สร้างผลตอบแทนได้มากกว่าที่ 76.67%


แน่นอนว่านักลงทุนทั้งหลายอาจไปลงทุนในช่วงที่ตลาดปรับตัวขึ้น จากนั้นตลาดก็ร่วงลงมา จึงขอมาดูที่ระดับการปรับตัวลงของกองทุนว่าการใช้ Positive change ช่วยลดผลกระทบการปรับตัวลงได้หรือไม่


กองทุน K-CHANGE-A(A) เป็นกองทุนที่มีหุ้นเติบโตเป็นสัดส่วนหลัก ซึ่งช่วงที่ผ่านมาโดนผลกระทบจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่ากลุ่มหุ้นไม่เติบโต ซึ่งการปรับตัวลงสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 37.5% ก่อนฟื้นตัวขึ้นมา ส่วน iShares Global Clean Energy ETF ลงมาประมาณ 50% ด้าน KraneShares Electric Vehicle and Future Mobility ETF และ Global X Lithium & Battery Tech ETF ร่วงลงมาประมาณ 41% สิ่งนี้สะท้อนว่าการใช้ Positive change และการกระจายสัดส่วนในหลายธีม ช่วยให้กองทุนรับผลกระทบน้อยกว่า ยิ่งเมื่อเทียบกับกลุ่มธีมเติบโตเพียงธีมเดียวแล้ว ยิ่งเห็นความแตกต่างชัดขึ้น



หุ้นน่าสนใจในกองทุนที่เกี่ยวข้องกับ Positive change

Mercado Libre ขับเคลื่อนการเข้าถึงบริการการเงินผ่านระบบการเงินในละตินอเมริกา, TSMC และ ASML มีส่วนช่วยให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ราคาถูกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทุกคนเข้าถึงข้อมูลและการศึกษาอย่างเท่าเทียม นอกจากนี้ยังเป็นบริษัทที่มีภาพการเติบโตระยะยาวที่ชัดเจน ธุรกิจมีความได้เปรียบแตกต่างจากบริษัทชิปอื่น


Ecolab พัฒนาผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้านแหล่งน้ำและการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลก, Bank Rakyat จากอินโดนิเซียที่เน้นการเข้าถึงประชากรที่มีรายได้ต่ำ เปิดโอกาสการเข้าถึงระบบการเงินและเงินทุน ช่วยสร้างความเท่าเทียมด้านการเงินมากขึ้น


ซึ่งกองทุนมีหุ้นเติบโตและใช้ประโยชน์จากกระแสการเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นอยู่อีกหลายบริษัท ถ้าหากเป็นนักลงทุนที่มองหาการเติบโตในระยะยาวกองทุน K-CHANGE-A(A) เป็นกองทุนที่น่าสนใจกองหนึ่งเลยทีเดียว และที่สำคัญอย่าลืมจัดสัดส่วนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้ด้วย



คำเตือน


ผู้เขียน

K WEALTH Trainer วีรพล บางแวก
Back to top