ประเด็นร้อน : GDP จีนโตต่ำกว่าคาด ตลาดมองหาการกระตุ้นชุดใหญ่

ประชุม FOMC มีมติเป็นเอกฉันท์ ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น แต่คาดยังมีโอกาสขึ้นเพิ่มอีก 2 ครั้งเพื่อสู้เงินเฟ้อในช่วงครึ่งปีหลัง

•สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงาน GDP ไตรมาส 2/2566 ขยายตัว 6.3% (YoY) ซึ่งแม้ว่าจะขยายตัวรวดเร็วขึ้นจากระดับ 4.5% ในไตรมาส 1 แต่ตัวเลขดังกล่าวยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 7.3%


• หลังจากที่ตัวเลขต่างๆ ที่เกี่ยวกับภาคการผลิตออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด จีนจึงมีแนวโน้มที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น เช่น การลดดอกเบี้ยนโยบาย นอกจากนี้ยังมีมาตรการที่ออกมาสำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ เช่น การเลื่อนการชำระหนี้ของภาคอสังหาฯ ซึ่งมาตรการทั้งหมดนี้ สะท้อนความตั้งใจของทางการจีนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ




อัปเดตข่าว/สถานการณ์


สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงาน GDP ไตรมาส 2/2566 ขยายตัว 6.3% (YoY) ซึ่งแม้ว่าจะขยายตัวรวดเร็วขึ้นจากระดับ 4.5% ในไตรมาส 1 แต่ตัวเลขดังกล่าวยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 7.3% หากดูรายไตรมาส ตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ของจีนขยายตัว 0.8% (QoQ) ซึ่งแม้ว่าชะลอตัวลงอย่างมากจากไตรมาส 1 ที่มีการขยายตัว 2.2% แต่ตัวเลขดังกล่าวดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัว 0.5%


ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆของจีนในเดือนมิ.ย. มีประกาศดังนี้


• ยอดค้าปลีกเดือนปรับตัวขึ้น 3.1% (YoY) ใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 3.2% ได้แรงหนุนจากยอดขายผลิตภัณฑ์ด้านกีฬา การจัดเลี้ยง และสันทนาการ ขณะที่ยอดค้าปลีกทางออนไลน์เพิ่มขึ้น 6.7%


• การผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้น 4.4% (YoY) ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.7% และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรในช่วงครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้น 3.8% แข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 3.5%


• อัตราการว่างงานโดยรวมอยู่ที่ระดับ 5.2% (YoY) แต่อัตราว่างงานในกลุ่มคนหนุ่มสาวซึ่งมีอายุระหว่าง 16-24 ปี อยู่ที่ระดับ 21.3% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์



ผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้ว


ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงรับตัวเลขเศรษฐกิจที่เปิดเผยออกมา โดยดัชนี CSI 300 ปิดตลาดวันที่ 17/07/66 ลดลง 0.82% ดัชนี A50 ปิดตลาดร่วงลง 1.25% ขณะที่ดัชนี Hang Seng ปิดทำการเป็นกรณีพิเศษเนื่องจากผลของพายุไต้ฝุ่น โดยเมื่อเปิดตลาดวันที่ 18/07/66 ตลาดหุ้นจีนทั้งดัชนี CSI 300, A50 และ Hang Seng ยังปรับตัวลงรับตัวเลขดังกล่าวต่อ



มุมมองการลงทุนต่อเศรษฐกิจจีน


• KAsset มองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนเริ่มแผ่วลง หลังจากที่ขาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงแรกของปี ประกอบกับการส่งออกที่ชะลอตัวลง และภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด


• แต่หลังจากที่ตัวเลขต่างๆ ที่เกี่ยวกับภาคการผลิตออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด จีนจึงมีแนวโน้มที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น เช่น การลดดอกเบี้ยนโยบาย นอกจากนี้ยังมีมาตรการที่ออกมาสำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ เช่น การเลื่อนการชำระหนี้ของภาคอสังหาฯ ซึ่งมาตรการทั้งหมดนี้ สะท้อนความตั้งใจของทางการจีนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้เติบโตตามที่เป้าหมาย GDP ที่เคยให้ไว้ที่ 5% แต่คาดว่าการออกมาตรการต่างๆ จะเป็นไปแบบสมดุลและระมัดระวัง



มุมมองการลงทุนตลาดหุ้นจีน


• ทั้งดัชนี A-Shares และ H-Shares ได้ปรับลดลงมาต่อเนื่องตั้งแต่ปลายเดือนม.ค.ปีนี้ ขณะที่ Forward P/E ปรับตัวลงมาที่ระดับ 8.6 เท่า และ 11.5 เท่าตามลำดับ ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในระยะยาว ประกอบกับตลาดมองว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตได้ในระดับประมาณ 15% ในปี 2567


• อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นจีนมีความเสี่ยงด้านภูมิศาสตร์ และความเสี่ยงด้านการชะลอตัวของภาคอสังหาฯ ที่ยังเป็นปัจจัยกดดันที่อาจกระทบตลาดได้เป็นระยะ



คำแนะนำการลงทุน


ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ จากปัจจัยสนับสนุนด้านมูลค่าตลาดหุ้นจีนที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตมาก ความคาดหวังว่าเศรษฐกิจจีนครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก รวมถึงทางการจีนมีโอกาสใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม จึงแนะนำใช้จังหวะนี้ทยอยซื้อสะสมกองทุน K-CHX และ K-CHINA-A(A)


ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ และต้องการลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนและรับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-PLAN2 และ K-PLAN3


สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลต่อความผันผวนของตลาดหุ้น และชอบกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศบางส่วน แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-PLAN1 ถือลงทุนอย่างน้อย 9-12 เดือน หรือ K-FIXEDPLUS แนะนำถือลงทุนอย่างน้อย 1 ปี


สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลต่อความผันผวนของตลาดหุ้น และไม่สามารถรับความเสี่ยงการลงทุนต่างประเทศได้ แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-CBOND ถือลงทุนอย่างน้อย 9-12 เดือน หรือ K-FIXED ถือลงทุนอย่างน้อย 1 ปี


สำหรับผู้ที่ยังกังวลกับความผันผวนของตลาดหุ้น และไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ แนะนำพักเงินในกองทุน K-SF ซึ่งเหมาะกับการลงทุน 1-3 เดือน เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้ง หรือกองทุน K-SFPLUS เหมาะกับการลงทุน 3-6 เดือน


ขอขอบคุณข้อมูลจาก :KAsset

Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”

คำเตือน


ผู้เขียน

K WEALTH Trainer วีรพล บางแวก
Back to top