"
● ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงหลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% และส่งสัญญาณว่าจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ แนะนำหาจังหวะขายหรือลดสัดส่วนกองทุนหุ้นยุโรปลง
● ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงจากความกังวลธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย แนะนำทยอยขายกองทุนหุ้นสหรัฐฯ บางส่วนในจังหวะที่ตลาดเด้งระยะสั้น
"
15 ธ.ค. ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือนและเป็นการร่วงลงวันเดียวหนักที่สุดในรอบ 6 เดือน โดยดัชนี STOXX 600 -2.85% Euro Stoxx 50 -3.51% เทียบกับวันก่อนหน้า ส่งผลให้ราคากองทุน K-EUX ณ 15 ธ.ค. ปรับตัวลดลง -3.19% เทียบกับวันก่อนหน้า และในวันต่อมา (16 ธ.ค.) กองทุน Allianz Europe Equity Growth ก็มีการปรับตัวลง -3.52% เทียบกับวันก่อนหน้า ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ราคากองทุน K-EUROPE-A(D) และ KEURMF ณ 16 ธ.ค. จะปรับตัวลดลงเช่นกัน (คาดว่าประกาศคืนวันที่ 19 ธ.ค.)
นอกจากนี้ ณ 15 ธ.ค. ตลาดหุ้นหลักของสหรัฐฯ ทั้ง 3 ตลาด ก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน โดยดัชนี Nasdaq -3.23% S&P500 -2.49% และ Dow Jones -2.25% เทียบกับวันก่อนหน้า ส่งผลให้ราคากองทุน K-USA และกองทุน K-USXNDQ ณ 15 ธ.ค. ปรับตัวลดลง -4.03% และ -3.16% เทียบกับวันก่อนหน้า ตามลำดับ
ทำไมตลาดหุ้นยุโรป ถึงปรับตัวลดลง
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลดลงหลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ตามคาดในการประชุมวันที่ 15 ธ.ค. ถือเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกัน และส่งสัญญาณว่าจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ ECB ในครั้งนี้ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับ 2.50% และเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2551 ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ระดับ 2.0% และ 2.75% ตามลำดับ
ในขณะที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ก็มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% มาอยู่ที่ระดับ 3.50% ตามคาดเช่นกันในการประชุมวันที่ 15 ธ.ค. และส่งสัญญาณว่าจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
การส่งสัญญาณเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางยุโรปและอังกฤษเพื่อควบคุมเงินเฟ้อนั้น ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย
มุมมองการลงทุนหุ้นยุโรป
• ECB ยืนยันที่จะคุมเข้มนโยบายการเงินเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อให้ลงมาอยู่ที่กรอบเป้าหมาย 2% โดยปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของยุโรปเดือนพ.ย. อยู่ที่ระดับ 10%
• คาดว่าจะเห็น GDP ยุโรปหดตัวในไตรมาส 4 ปี 65 ขณะที่ประมาณการกำไรบริษัทถูกปรับลงอย่างต่อเนื่องและตัวเลขในปีหน้าอาจเห็นทรงตัวจากปีนี้
ทำไมตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถึงปรับตัวลดลง
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงเนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกเพื่อสกัดเงินเฟ้อ จะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย
ทั้งนี้ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ในวันที่ 13-14 ธ.ค. ที่ผ่านมา มีการเปิดเผยมุมมองอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการ (Fed Dot Plot) ว่า ปี 2566 ควรปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ที่ระดับ 5.0% - 5.25% ซึ่งเพิ่มจากมุมมองของคณะกรรมการที่เปิดเผยในการประชุมเดือน ก.ย. ที่มองว่า ควรปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ที่ระดับ 4.50% - 4.75% สะท้อนมุมมองการใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัวมากกว่าที่ตลาดรับรู้ไปก่อนหน้านี้ และนายเจอโรม พาวเวล ประธาน FED ยังระบุว่า FED จะไม่เปลี่ยนแปลงเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% และจะใช้เครื่องมือทั้งหมดที่มีเพื่อลดเงินเฟ้อให้กลับสู่ระดับเป้าหมาย ซึ่งทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยได้
คำแนะนำการลงทุน
● ผู้ที่ถือกองทุนหุ้นยุโรป เช่น K-EUROPE-A(D), K-EUSMALL, K-EUX แนะนำให้พิจารณาขายคืนหรือลดสัดส่วนการลงทุน ส่วนผู้ที่ต้องการลงทุนเพิ่ม ยังไม่แนะนำให้ลงทุน
● ผู้ที่ถือกองทุนหุ้นสหรัฐฯ เช่น K-USA, K-US500X, K-USXNDQ ทยอยขายบางส่วนในจังหวะที่ตลาดเด้งระยะสั้น เพื่อลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวม แต่หากเป็นการลงทุนระยะยาวและรับความผันผวนในระยะสั้นได้ แนะนำถือต่อไปได้ เนื่องจากการประเมินมูลค่าหุ้นสหรัฐฯ (Valuation) ปรับตัวลงมาใกล้เคียงค่าเฉลี่ย 10 ปีแล้ว ส่วนผู้ที่ต้องการลงทุน หากรับความเสี่ยงหรือความผันผวนได้น้อย ยังไม่แนะนำให้ลงทุน
● สำหรับผู้ที่ยังกังวลกับความผันผวนของตลาดหุ้น แต่ยังคงรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้หรือต้องการรับผลตอบแทนระยะยาว แนะนำลงทุนกองทุนผสม เช่น กองทุน K-GINCOME-A(A) ที่มีการแบ่งสัดส่วนและกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายทั่วโลก ช่วยลดความผันผวนและความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์หรือหุ้นที่กระจุกตัวเพียงบางประเทศ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก KAsset, Ryt9, การเงินธนาคาร
Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”