ประเด็นร้อน : ทิศทางการลงทุน ECB มีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยตามคาด 0.75%

สรุปการประชุมธนาคารกลางยุโรป รอบ 9 ก.ย.65 หลังขึ้นดอกเบี้ยกว่า 0.75% เพื่อสกัดเงินเฟ้อและวกฤตพลังงาน เหตุการณ์นี้กระทบต่อราคากองทุนตราสรหนี้โดยตรง แบบนี้ควรลงทุนอย่างไร

• ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75%ตามคาด พร้อมส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเพื่อสกัดเงินเฟ้อ


• เมื่อดอกเบี้ยปรับตัวขึ้น ราคากองทุนตราสารหนี้มักปรับตัวลง แต่เป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ และมักไม่นานไปกว่าอายุเฉลี่ยตราสารหนี้ในกองทุน


• เศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยง ทั้งตลาดหุ้นยุโรป และหุ้นสหรัฐฯ ผู้ลงทุนจึงควรติดตามข่าวสารและลงทุนด้วยความระมัดระวัง


8 ก.ย. 65 ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75%ตามคาด พร้อมทั้งส่งสัญญาณว่าจะยังคงขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องในการประชุมครั้งต่อไป เนื่องจากเงินเฟ้อยังคงสูงเกินไปและมีแนวโน้มอยู่เหนือเป้าหมายเป็นระยะเวลานาน


แม้ดัชนีหุ้นยุโรประหว่างวันมีการปรับตัวลดลงหลังมีมติขึ้นดอกเบี้ย แต่สิ้นวันตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเล็กน้อย เช่น ดัชนี STOXX 50 (หุ้นใหญ่) ปรับตัวขึ้น +0.29% และ STOXX 600 (หุ้นใหญ่/กลาง/เล็ก) ปรับตัวขึ้น +0.50%เทียบกับวันก่อนหน้า จากหุ้นกลุ่มธนาคารที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยกองทุนหลักที่เป็นกองทุนหุ้นยุโรปที่ KAsset มีการลงทุนอยู่ เช่น กองทุนหลักของ K-EUX (iShares EURO STOXX 50) ปรับตัวขึ้น +0.30% กองทุนหลักของ K-EUROPE และ KEURMF (Allianz Europe Equity Growth) ปรับตัวขึ้น +0.12% และกองทุนหลักของ K-EUSMALL (Invesco Continental European Small Cap) ปรับตัวขึ้น +0.43%เทียบกับวันก่อนหน้า



มุมมองการลงทุน หุ้นยุโรป

• นักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่าอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าภาวะเศรษฐกิจถดถอยในยูโรโซนจะเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากกำลังการใช้จ่ายของผู้บริโภคถูกกดดัน และธุรกิจต่างๆ กำลังประสบปัญหาในการส่งต่อต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น


• อีกทั้งยังมีปัญหาขาดแคลนพลังงาน หลังจากที่เมื่อ 5 ก.ย. รัสเซียยุติการส่งก๊าซผ่านท่อนอร์ดสตรีม 1 ให้กับยุโรป จนกว่าชาติตะวันตกจะยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร ส่งผลให้ราคาก๊าซในยุโรปสูงขึ้น 30%



ทิศทางดอกเบี้ย กับกองทุนตราสารหนี้

ดอกเบี้ยนโยบายที่สูงขึ้น ส่งให้ตราสารหนี้ที่ออกใหม่ (เช่น พันธบัตร หุ้นกู้ ฯลฯ) จ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้น ทำให้ตราสารหนี้เดิมในตลาดมีความน่าสนใจลดลง ราคาตราสารหนี้และกองทุนตราสารหนี้จึงปรับตัวลง โดยกองทุนที่มีอายุเฉลี่ยตราสารหนี้ที่สั้น (portfolio duration) จะได้รับผลกระทบน้อยกว่ากองทุนที่มีอายุเฉลี่ยตราสารหนี้ที่ยาว


อย่างไรก็ตาม หากผู้ออกตราสารหนี้ยังคงจ่ายดอกเบี้ยได้ตามสัญญา ราคากองทุนตราสารหนี้มักทยอยปรับตัวขึ้น และมักใช้เวลาไม่นานไปกว่าอายุเฉลี่ยตราสารหนี้ในกองทุน เช่น ข้อมูล ณ 6 ก.ย. 65 กองทุน K-FIXEDPRO มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 เดือน และ 1 ปี ติดลบอยู่ที่ -0.59% และ -5.44% ตามลำดับ แต่หากถือได้ 2 ปี 9 เดือนขึ้นไป (portfolio duration จากเอกสาร fund fact sheet ณ 27 ก.ค. 65) ก็มีโอกาสสูงที่กองทุนจะกลับมากำไรและให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมได้



สถานการณ์อื่น ที่น่าสนใจ


I: หุ้นสหรัฐฯ


• ณ 8 ก.ย. 65 หุ้นสหรัฐฯ ซึ่งปิดตลาดหลัง ECB มีมติขึ้นดอกเบี้ย มีการปรับตัวขึ้น เช่น ดัชนี S&P500 +0.66% Dow Jones +0.61% และ Nasdaq +0.60% เทียบกับวันก่อนหน้า ส่วนกองทุนหลักของ K-USA (Morgan Stanley US Advantage) ซึ่งมีการลงทุนแบบเชิงรุกปรับตัวขึ้น +3.34% และกองทุนหลักของ K-GHEALTH และ KGHRMF (JPM Global Healthcare) ที่มีสัดส่วนการลงทุนใน North America 78% (ณ 31 ก.ค. 65) ปรับตัวขึ้น +3.18%เทียบกับวันก่อนหน้า เช่นกัน


o หากพิจารณาหุ้น 10 ลำดับแรก ที่กองทุนหลักของ K-USA ลงทุนมากที่สุด (ณ 31 ก.ค. 65) หุ้นที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุด 2 ลำดับแรก ได้แก่ Roblox Corp ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเกมออนไลน์ +4.81% และ The Trade Desk ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มคลาวด์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณาดิจิตอล +3.55%เทียบกับวันก่อนหน้า


o ส่วนหุ้น 10 ลำดับแรก ที่กองทุนหลักของ K-GHEALTH ลงทุนมากที่สุด (ณ 31 ก.ค. 65) หุ้นที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุด 2 ลำดับแรก ได้แก่ Thermo Fisher Scientific +2.69% และ Centene +2.16%เทียบกับวันก่อนหน้า


• อย่างไรก็ตาม จาก Beige Book หรือรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจใน 12 เขตของสหรัฐ ที่เปิดเผยเมื่อ 7 ก.ย. ระบุว่าแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจยังคงอ่อนแอ แม้ว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อการใช้จ่ายของผู้บริโภคจะเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลงก็ตาม โดยภาคธุรกิจคาดการณ์ว่าความต้องการสินค้าและบริการจะชะลอตัวลงอีกในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า


• นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในวอลล์สตรีทคาดการณ์ว่า การที่ FED พยายามสกัดเงินเฟ้อด้วยการเร่งขึ้นดอกเบี้ย จะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากดอกเบี้ยส่งผลต่อต้นทุนการกู้ยืมของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ทำให้บริษัทต่าง ๆ อาจปรับลดการใช้จ่าย ส่งผลให้เศรษฐกิจอ่อนแรงลง


• หากพิจารณาการเปลี่ยนแปลงของดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา พบว่าดัชนีหุ้นทั้ง 3 ของสหรัฐฯ มีการปรับตัวลง 3.22% ถึง 6.19% เทียบกับวันที่ 8 ส.ค. 65 ส่งผลให้ 1 เดือนที่ผ่านมา กองทุนหุ้นสหรัฐฯ และกองทุนผสมต่างประเทศ เช่น K-USA K2035RMF K2040RMF มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 เดือน ณ 6 ก.ย. 65 ติดลบอยู่ที่ -13.66% -5.63% -5.59% ตามลำดับ


II: หุ้นจีน


• ได้รับแรงกดดันจากข้อมูลยอดส่งออกเดือน ส.ค. ขยายตัวเพียง 7.1% ซึ่งชะลอตัวลงอย่างมากจากเดือน ก.ค. ที่ขยายตัวถึง 18% เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์และภาวะเงินเฟ้อส่งผลให้ความต้องการสินค้าจีนในต่างประเทศลดลง ส่วนยอดการนำเข้าเดือน ส.ค. ขยายตัวเพียง 0.3% ชะลอตัวลงจากเดือน ก.ค. ที่ขยาย 2.3%


• มาตรการล็อกดาวน์เมืองสำคัญของจีนเพื่อสกัด COVID-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีน โดยล่าสุด (8 ก.ย.) เฉิงตูซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลเสฉวน ที่มีประชากรราว 21.2 ล้านคน ประกาศขยายเวลาล็อกดาวน์พื้นที่ส่วนใหญ่อย่างไม่มีกำหนด


• เศรษฐกิจของจีน ส่งผลต่อความกังวลในการใช้พลังงานที่อาจชะลอตัว ทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีความเสี่ยงที่อาจปรับตัวลง โดยจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบรายใหญ่ของโลก ในช่วง 8 เดือนแรก มีการนำเข้าน้ำมันลดลง 4.7%เทียบรายปี


• อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจมุมมองการลงทุนของ 8 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนชั้นนำของไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทลูกของธนาคารชั้นนำในประเทศ พบว่ายังมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในหุ้นจีนอยู่ โดยสามารถอ่านเพิ่มเติมได้จาก บทความ “เปิดโผ 4 ปัจจัย หนุนหุ้นจีนแกร่งขึ้นระยะยาว


III: น้ำมันโลก

7 ก.ย. กองทุนหลักของ K-OIL (Invesco DB Oil Fund) ราคามีการปรับตัวลง -5.48%เทียบกับวันก่อนหน้า สาเหตุมาจากความกังวลในการใช้พลังานที่อาจลดลง จากข้อมูลการค้าของจีนที่อ่อนแอ และการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกที่อาจส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง


อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบอาจขึ้นลงแรงได้ในแต่ละวันจากปัจจัยอื่นๆ ที่มากระทบ เช่น


o ความคืบหน้าการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ซึ่งอาจทำให้อิหร่านกลับมาส่งออกน้ำมันได้อีกครั้ง โดยอิหร่านสามารถส่งออกได้ 1%ของตลาด หากมีการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร ทำให้ราคาน้ำมันมีโอกาสปรับตัวลง


o รายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐ ที่หากมีสต็อกต่ำกว่าคาดจะสะท้อนความต้องการใช้พลังงานที่สูงขึ้น อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น


● ล่าสุด 8 ก.ย. รายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐ อยู่ในระดับที่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ ซึ่งแม้จะเป็นปัจจัยลบ แต่ข่าวรัสเซียขู่ระงับการส่งน้ำมันให้ชาติตะวันตกยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นเทียบกับวันก่อนหน้า โดยกองทุนหลักของ K-OIL (Invesco DB Oil Fund) ราคามีการปรับตัวขึ้น +0.64%เทียบกับวันก่อนหน้า



คำแนะนำการลงทุน

ผู้ที่ถือกองทุนหุ้นยุโรป อยู่ (เช่น K-EUX, K-EUROPE, K-EUSMALL) แนะนำให้หาจังหวะขายคืนหรือลดสัดส่วนลงหากมีกำไร ส่วนผู้ที่ต้องการลงทุนเพิ่ม ไม่แนะนำให้ลงทุน


ผู้ที่ถือกองทุน K-OIL อยู่ ให้พิจารณาขายคืนทั้งหมดหากมีกำไร ซึ่งระดับราคา ณ ปัจจุบันแม้จะต่ำกว่าช่วง มิ.ย. 65 แต่ยังเป็นระดับราคาที่สูงกว่าราคาที่ผ่านมาหากย้อนหลังไปจนถึง ธ.ค. 57 ส่วนผู้ที่ต้องการลงทุนเพิ่ม ไม่แนะนำให้ลงทุน


ผู้ที่ถือกองทุนหุ้นสหรัฐฯ เช่น K-USA และกองทุน K-GHEALTH อยู่ แนะนำให้ถือต่อและรอประเมินสถานการณ์ โดยเฉพาะการประชุม FED ในวันที่ 20-21 ก.ย. ส่วนผู้ที่ต้องการลงทุนเพิ่ม ยังไม่แนะนำให้ลงทุนตอนนี้


ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ และลงทุนได้ระยะยาว


o ผู้รับความเสี่ยงได้ปานกลาง >> แนะนำกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายทั่วโลก ผ่านกองทุนรวมผสม K-GINCOME ที่สามารถทยอยลงทุนและถือลงทุนได้แทบทุกสถานการณ์


o ผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง >> แนะนำพิจารณาทางเลือกในการแบ่งเงินลงทุนบางส่วนมาทยอยลงทุนกองทุนหุ้นจีน (เช่น K-CHX, K-CHINA, K-CCTV) กองทุนหุ้นเวียดนาม (เช่น K-VIETNAM) กองทุนหุ้นญี่ปุ่น (เช่น K-JP, K-JPX) หรือกองทุนหุ้นไทย (เช่น K-STAR) เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาว


สำหรับผู้ที่ยังกังวลกับความผันผวนของตลาดหุ้น แนะนำพักเงินในกองทุน K-CASH เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุน อีกครั้ง


ขอขอบคุณข้อมูลจาก KAsset, THE STANDARD WEALTH, กรุงเทพธุรกิจ, Infoquest


Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”