มุมมองห้องค้ากสิกรไทย ชี้บาทปีหน้าเสี่ยงอ่อนยาว

กดฟัง
หยุด

ปี 2569 เงินบาทโอกาสอ่อนค่า จากแรงกดดันต่างๆ เช่น เศรษฐกิจไทยชะลอตัว หนี้ครัวเรือน ฯลฯ


การลงทุนแบบ Unhedged มีโอกาสได้รับ "ผลตอบแทนจากค่าเงิน” เพิ่มจากผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ลงทุน เช่น K-GSELECTU-A(A) (หุ้นทั่วโลก) K-GHEALTH(UH) (หุ้นสุขภาพ) และ K-GDBONDUH (ตราสารหนี้โลก)

อัปเดตจากห้องค้ากสิกรไทย

• ห้องค้ากสิกรไทยประมาณการณ์ค่าเงินบาท ณ สิ้นปี 2569 อยู่ที่ 32.80 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ (ณ 26 พ.ย. อยู่ที่ 32.27 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ) โดยประเมินว่าเงินบาทจะเผชิญแรงกดดันเพิ่มขึ้นจากปัจจัยภายในประเทศที่อ่อนแอ เช่น เศรษฐกิจชะลอ การส่งออกถูกกดดันจากมาตรการภาษียุคทรัมป์ และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง
• ปี 2568 เป็นปีที่เงินบาทผันผวนรุนแรง อ่อนค่าสุดที่ 35 บาท ในเดือนเมษายน ก่อนแข็งสุดที่ 31.61 บาท ในกันยายน จากแรงขายดอลลาร์ช่วงเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีสัญญาณชะลอตัว
• ปี 2568 ดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่ากว่า 8% จากกระแส De-dollarization แต่กสิกรไทยประเมินว่าปัจจัยนี้ กำลังใกล้หมดไป และจะไม่กดดันดอลลาร์มากเท่ากับช่วงที่ผ่านมาอีกแล้ว

ปัจจัยกดดันเงินบาท ปี 2569

คาดว่าเศรษฐกิจไทยชะลอต่ำกว่า 2% ต่ำสุดในภูมิภาคเอเชีย จากผลกระทบภาษีนำเข้าทรัมป์ และการฟื้นตัวของท่องเที่ยวที่ยังต่ำกว่าก่อนโควิด (ประเมินปี 2569 ประมาณ 35 ล้านคน)
หนี้ครัวเรือนสูง ราว 86–87% ของ GDP กดดันการใช้จ่าย ทำให้เศรษฐกิจไทยขาดแรงขับเคลื่อนในระยะสั้นและจำกัดโอกาสแข็งค่าของเงินบาท
กระแสเงินฝากต่างประเทศ (FCD) สะสมสูง ทำให้ผู้ถือดอลลาร์ ไม่มีความจำเป็นต้องขายกลับเป็นบาทมากนัก แม้ดอกเบี้ยสหรัฐฯ จะเริ่มปรับลงช้า ๆ จึงช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาท
• การอ่อนค่าของดอลลาร์จาก De-dollarization เริ่มจำกัด และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็งแรงกว่ายุโรปและญี่ปุ่น ทำให้เงินทุนจะยังไม่ไหลออกจากดอลลาร์มากเท่าเดิม

ความเสี่ยงค่าเงินที่ต้องติดตาม

ความไม่แน่นอนของทิศทาง ลดดอกเบี้ยของ Fed ในปี 2569
ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามการค้า
ความเสี่ยงหนี้สาธารณะยุโรปที่อาจกลับมาเป็นประเด็น (ฝรั่งเศส อิตาลี อังกฤษ) ซึ่งอาจทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น หากนักลงทุนประเมินความเสี่ยงในยุโรปเพิ่มสูงขึ้น
ปัจจัยเอเชีย หยวนและเยน อาจหนุนเงินบาทได้บางช่วง แต่ผลมีจำกัดตามน้ำหนักการค้าจริงและเงินทุนเคลื่อนย้าย


ภาพรวมมุมมองค่าเงินบาท

ปี 2569 เงินบาทยังมีแนวโน้มผันผวนสูง และ “มีโอกาสอ่อนค่าได้มากกว่าแข็งค่า” ตามพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแรงและปัจจัยภายในประเทศที่ยังท้าทาย
แม้เงินดอลลาร์อาจไม่ได้แข็งค่าแบบรุนแรงเหมือนปี 2568 แต่ปัจจัยที่หนุนให้เงินบาทกลับมาแข็งมีจำกัดกว่าที่หลายฝ่ายคาด


คำแนะนำการลงทุน

หากพิจารณาจากมุมมองที่ว่า เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าในระยะข้างหน้า การลงทุนแบบ Unhedged จะเอื้อต่อการได้รับ "ผลตอบแทนจากค่าเงิน” เพิ่มเติม นอกเหนือจากผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่ลงทุน และไม่มีต้นทุนการ Hedge ค่าเงิน เช่น
o K-GSELECTU-A(A) ที่เน้นลงทุนหุ้นทั่วโลก และ K-GHEALTH(UH) ที่เน้นลงทุนหุ้นสุขภาพทั่วโลก มีความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
o K-GDBONDUH ที่เน้นลงทุนตราสารหนี้ทั่วโลก มีความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการจำกัดความผันผวน หรือมีความกังวลต่อทิศทางค่าเงิน การเลือกกองทุน แบบ Hedged จะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และทำให้ผลตอบแทนมีความสม่ำเสมอมากขึ้น เช่น
o K-GSELECT (หุ้นโลก) ที่ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน หรือ K-GHEALTH (หุ้นสุขภาพ) ที่ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน 75%ของเงินลงทุนต่างประเทศ มีความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
o K-GDBOND-A(A) (ตราสารหนี้โลก) ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน มีความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
o หรือ K-FIXED ที่ไม่มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน เพราะลงทุนตราสารหนี้ภาครัฐและภาคเอกชน ในประเทศเท่านั้น มีความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
หมายเหตุ: ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+4 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 4 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+4) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันศุกร์ (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
o K-FIXEDPLUS-A, K-GDBOND-A(A), K-GDBONDUH: T+2
o K-GSELECT, K-GSELECTU-A(A): T+3
o K-GHEALTH, K-GHEALTH(UH): T+4





คำเตือน


ผู้เขียน

CIO Office at K WEALTH

Back to top