07 ต.ค. 63

ยุคมืดของการปล่อยเช่าคอนโดฯ

คะแนนเฉลี่ย

ออมและลงทุน

​​​​​ยุคมืดของการปล่อยเช่าคอนโดฯ


          ต้องบอกว่าโครงการคอนโดฯ ช่วงนี้ มักจัดโปรโมชั่นแรงๆ ไม่ว่าจะเป็น โปรอยู่ฟรี ส่วนลดเป็นแสน ของแถมสุดคุ้ม ฯลฯ และด้วยความคุ้มค่าของการซื้อคอนโดฯ ในยุคนี้นี่เองทำให้หลายคนที่ยังมีเงินเหลือ เริ่มสนใจอยากลงทุนปล่อยเช่าคอนโดฯ กับเค้าบ้าง เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยได้ยินเพื่อนหรือคนรอบข้างบอกมาว่า “ซื้อคอนโดฯ ปล่อยให้คนเช่าดีมากเลยนะ” แต่จะดีจริงเหมือนที่เคยได้ยินมาหรือไม่ เราลองมาดูกันเลยค่ะ


แสงสว่างในอดีต

  หากย้อนเวลากลับไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน การลงทุนซื้อคอนโดเพื่อปล่อยเช่าเป็นที่นิยมกันอย่างมาก เพราะเป็นการลงทุนที่ทำให้มีรายได้สม่ำเสมอ (Passive Income) ทุกเดือน และส่วนใหญ่มักกำหนดให้ผู้เช่าทำสัญญาไว้ขั้นต่ำ 1 ปี ซึ่งเป็นการการันตีรายได้จากค่าเช่าในช่วง 1 ปีนี้ ส่วนการหาคนเช่าในยุคนั้นก็ไม่ได้ยากลำบากอะไรมากนัก โดยเฉพาะคอนโดฯ ในย่านกรุงเทพฯ ที่มีผู้คนจำนวนมากเข้ามาทำงานอยู่เป็นประจำ และนอกจากรายได้จากการปล่อยเช่าคอนโดฯ แล้ว ยังทำให้มีทรัพย์สินเป็นของตนเองอีกด้วย หากวันนึงไม่อยากให้คนเช่าแล้ว ก็สามารถขายทำกำไรได้ไม่ยาก ในยุคอดีตจึงไม่แปลกที่บางคนมีคอนโดฯ ให้เช่ามากกว่า 1 ห้อง

ยุคมืดในปัจจุบัน

  จากสถานการณ์โควิดในปัจจุบัน ทำให้ภาพที่สวยหรูในอดีต  อาจไม่ได้เป็นไปอย่างที่หลายคนคิด เนื่องจากมีหลาย ๆปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งหากเราเป็นคนหนึ่งที่กำลังคิดจะซื้อคอนโดฯ เพื่อปล่อยเช่า อยากให้ลองพิจารณาถึงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อย่างรอบคอบก่อนจึงค่อยตัดสินใจลงทุน 

     1. สิ่งที่เจอในช่วงสถานการณ์โควิด

          • ห้องว่าง ไม่มีคนเช่า  

                   จากพิษเศรษฐกิจทำให้หลายๆ บริษัทเลิกจ้างพนักงาน หรือลดเงินเดือน ส่งผลให้กำลังซื้อลดลง หลายคนเลือกที่จะกลับต่างจังหวัด หรือเลือกที่จะหาที่พักราคาถูกทดแทน เช่น ย้ายจากคอนโดฯ ไปอยู่อพาร์ทเม้นท์ที่มีค่าเช่าถูกลง ส่วนคอนโดฯ ที่อยู่ย่านใจกลางเมืองที่เน้นผู้เช่าจากต่างชาติมาทำงานในไทย หรือนักท่องเที่ยว ก็ได้รับผลกระทบ จากสถานการณ์โควิดในการเดินทางเข้ามาในประเทศไทย

          • ราคาค่าเช่าปรับลดลง แถมคู่แข่งเยอะ 

                    ถ้าเราเข้าไปดูตามเว็บไซต์ประกาศเช่าคอนโดฯ จะพบว่าช่วงนี้มีคนโพสต์ปล่อยเช่าคอนโดฯ มากกว่าปกติ เพราะห้องว่างสืบเนื่องมาจากสถานการณ์โควิด จึงมีผู้ให้เช่าหลายคนพยายามลดราคาค่าเช่าห้องลง เพื่อให้มีคนเช่าดีกว่าปล่อยให้ห้องว่าง  เช่น ปกติค่าเช่าเดือนละ 18,000 บาท แต่ปัจจุบันปล่อยเช่าได้เพียง 12,000 บาทต่อเดือน เป็นต้น

     2. สิ่งที่มักเจออยู่ตลอด เมื่อปล่อยเช่าคอนโดฯ 

          • ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ต้องเตรียม

                    นอกจากที่จะต้องเตรียมเงินก้อนใหญ่เพื่อซื้อคอนโดแล้ว  ยังมีค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ตามมาจากการปล่อยเช่าคอนโด เช่น ค่าส่วนกลาง ค่าซ่อมแซมหรือค่าปรับปรุงห้องเมื่อผู้เช่าย้ายออก และค่าใช้จ่ายภาษีบุคคลธรรมดาและภาษีที่ดิน ค่าใช้จ่ายต่างๆ เหล่านี้ ต้องไม่ลืมนำมาพิจารณากับค่าเช่าว่ายังคุ้มค่ากับรายได้จากการปล่อยเช่าหรือไม่

          • ปัญหาผู้เช่าที่ไม่มีคุณภาพ

                    การคัดกรองหรือสัมภาษณ์ผู้เช่าเป็นสิ่งสำคัญมาก หากได้ผู้เช่าที่ไม่มีคุณภาพ อาจจะเจอผู้เช่าหนีค่าเช่า ทำห้องเสียหาย ขโมยของ ไม่มีเงินจะจ่ายและไล่ไม่ไป  ซึ่งจะทำให้เรามีปัญหาได้ในภายหลัง ดังนั้นนอกจากการคัดกรองผู้เช่าแล้ว การทำสัญญาเช่าที่รัดกุมจะช่วยเราได้เมื่อมีปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นในภายหลัง

เปรียบเทียบความสว่างในยุคมืด

  มาถึงตรงนี้หลายคนคงมีคำถามในใจ ว่าควรลงทุนปล่อยเช่าคอนโดฯ อยู่หรือไม่ ก่อนจะตัดสินใจ ลองเปรียบเทียบแบบนี้ดูค่ะ

               • ราคาถูกจะซื้อดีไหม VS จะปล่อยเช่าได้ไหม 
                    อย่างที่กล่าวไว้ในข้างต้น ว่าคอนโดหลายๆ โครงการช่วงนี้มีโปรโมชั่นที่น่าสนใจมาก เช่น ลดราคา 20%-50% ค่าส่วนกลางฟรี 5 ปี อยู่ฟรี 2 ปี ลด แลก แจก แถม ทำให้คนที่มีกำลังเงินตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น แต่เนื่องจากในช่วงนี้ความต้องการปล่อยเช่ามีมากกว่าผู้เช่า จึงมีความเสี่ยงว่าลงทุนซื้อคอนโดฯ ไปแล้วอาจยังไม่มีผู้เช่า หรือ มีผู้เช่าแต่ได้ราคาค่าเช่าที่น้อยกว่าที่ควรจะเป็น อย่างไรก็ตามการเลือกทำเลที่ดีจะทำให้มีโอกาสปล่อยเช่าได้มากขึ้น เช่น ติดรถไฟฟ้า BTS ใกล้โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยชื่อดัง อยู่ออฟฟิศใจกลางเมือง เป็นต้น

               • เปรียบเทียบผลตอบแทน VS ค่าใช้จ่ายหรือต้นทุน 
                    การลงทุนเพื่อปล่อยเช่าคอนโดฯ แน่นอนว่าผู้ลงทุนอยากได้ค่าเช่าที่สูง เพื่อให้คุ้มค่ากับการลงทุน เราลองมาดูวิธีการคิดอัตราผลตอบแทนกันสำหรับคนที่ซื้อด้วยเงินเก็บของตัวเอง ด้วยสูตร 

                    Net Rental Yield = ค่าเช่า – ค่าส่วนกลาง X 100
                                                        ราคาคอนโด

          เช่น  คอนโดห้องละ 4,000,000 บาท   ปล่อยเช่าได้เดือนละ 12,000 บาท  ค่าส่วนกลางปีละ 30,000 บาท

            Net Rental Yield = (12,000X12) – 30,000  X 100 = 2.85% ต่อปี
                                                             4,000,000​

          จากตัวอย่าง อัตราผลตอบแทนสุทธิของการปล่อยเช่าคอนโดฯ จะอยู่ที่ 2.85% ต่อปี กรณีนี้ยังไม่ได้หักค่าซ่อมแซม ค่าปรับปรุงห้องเมื่อผู้เช่าย้ายออก หรือ ช่วงที่ไม่มีผู้เช่า รวมถึงต้นทุนดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนที่แท้จริงน้อยลงไปอีก แต่ในทางกลับกันถ้าเราเก็บค่าเช่าต่อเดือนได้สูงขึ้น หรือซื้อคอนโดฯ ราคาที่ถูกลง ก็จะช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้กับเราได้ในระยะยาว     

ทางเลือกใหม่ของแสงสว่าง

          นอกจากการซื้อคอนโดฯ เพื่อปล่อยเช่าแล้ว เรายังมีทางเลือกการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อีกรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า “กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์” ถึงแม้เราจะไม่ได้เป็นเจ้าของคอนโดฯ แต่การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์สามารถลงทุนด้วยจำนวนเงินที่น้อยในหลายๆ อสังหาริมทรัพย์ได้ในคราวเดียว อย่างเช่น กองทุน K-PROPI​  

          โดยเปรียบเทียบความแตกต่าง ได้ดังนี้

​ซื้อคอนโดเพื่อปล่อยเช่า
​กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (K-PROPI)
1.ซื้อแล้วได้หลักฐานอะไร
​หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด
​สมุดบัญชีกองทุน
​2.รายได้มาจากไหน
​1.กำไรจากราคาตลาดที่เพิ่มขึ้น
2.ค่าเช่าห้อง
​1.กำไรจากราคา NAV ที่สูงขึ้น                              2.เงินปันผล (มาจากค่าเช่าต่างๆของสินทรัพย์ที่กองทุนไปลงทุน)
​3.ใช้เงินลงทุน
​สูง 
(มากกว่า 1 ล้านบาท)
​ต่ำ 
(เริ่มต้นที่ 500 บาท)
​4.ค่าใช้จ่าย
​สูง 
(ค่าส่วนกลาง และอื่นๆ)
​ต่ำ 
(ค่าธรรมเนียม)
5.สภาพคล่อง
​ต่ำ 
(ต้องรอคนมาซื้อ)
​สูง 
(ซื้อขายได้ทุกวันทำการ)

          การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในคอนโดฯ หรือการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (K-PROPI) ทั้ง 2 อย่างนี้ เป็นการลงทุนในระยะยาว อย่าลืมคำนึงถึงกระแสเงินสดในการดำรงชีวิตที่เพียงพอ บางคนมีคอนโดฯ เพื่อปล่อยเช่า 3 ห้อง แต่เวลาเจ็บป่วยเป็นโรคร้ายแรง ไม่มีเงินสดมาจ่ายค่ารักษาพยาบาล เพราะไม่สามารถขายคอนโดได้ทันที ส่วนการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ยังสามารถขายคืน นำเงินมาใช้ได้ แม้มีความเสี่ยงที่จะขาดทุน และเนื่องจากเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ดังนั้นแนะนำให้นักลงทุนแบ่งเงินเพียงบางส่วนมาลงทุน เช่น 5%-15% ของเงินที่มีทั้งหมด รวมถึงควรกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์อื่นๆ ให้เหมาะกับความเสี่ยงของตัวเองด้วย เช่น เงินฝาก กองทุนรวมตราสารหนี้ กองทุนรวมหุ้น และสินทรัพย์อื่นๆ เป็นต้น สุดท้ายนี้ K-Expert ขอให้นักลงทุนทุกท่านพบกับแสงสว่างที่ฝันไว้ ลงทุนแล้วนอนหลับฝันดี กินอิ่มนอนหลับนะคะ




บทความที่เกี่ยวข้อง :

• K-PROPI​ 



ให้คะแนนบทความ

ลออรัตน์ รักษ์บุญยวง CFP®

ฝ่ายพัฒนาการให้คำปรึกษาลูกค้า ธนาคารกสิกรไทย