มีคำถามกันเข้ามาอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าที่ขายสินค้าตามตลาดนัด รวมทั้งกลุ่มหาบเร่ แผงลอย รถเข็น รถพุ่มพวง เป็นต้น ได้สอบถามกันเข้ามาถึงเรื่อง “ไม่ได้เดินบัญชีกับธนาคาร” หรือ “หากไม่ได้เดินสเตทเม้นท์” สามารถขอสินเชื่อจากธนาคารได้หรือไม่ ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ อยากชวนไปทำความเข้าใจถึงความสำคัญของ “การเดินสเตทเม้นท์” หรือ ”การเดินบัญชีกับธนาคาร” หมายถึง การเปิดบัญชีออมทรัพย์หรือกระแสรายวันกับธนาคารเพื่อใช้เป็นเอกสารหรือหลักฐานทางการเงินที่แสดงรายการรับเงิน (ขายสินค้าได้) และจ่ายเงิน (ซื้อสินค้ามาขาย และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทางการค้า) สามารถแสดงวัน/เวลาที่แน่นอนในการรับเงิน-จ่ายเงิน และยังสามารถบอกชื่อผู้โอนเงินหรือผู้ที่รับเงินโอนจากพ่อค้าแม่ค้าได้
ดังนั้น รายการเดินสเตทเม้นท์หรือเดินบัญชีของพ่อค้าแม่ค้าที่ขายสินค้าออนไลน์ มักมีความสอดคล้องรายได้ที่แท้จริง ซึ่งจะแตกต่างจากพ่อค้าแม่ค้าที่ซื้อขายด้วยเงินสดอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้าหรือการขายสินค้าก็ตามแทบจะไม่มีการทำรายการผ่านบัญชีธนาคาร ทำให้มีการเดินสเตทเม้นท์ในปริมาณที่น้อยมากและไม่สอดคล้องกับรายได้ที่แท้จริงของพ่อค้าแม่ค้า
ที่ผ่านมาพ่อค้าแม่ค้าส่วนใหญ่จึงเข้าใจว่าหากไม่เดินสเตทเม้นท์กับธนาคารจะไม่สามารถขอสินเชื่อได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องจะขอเล่าถึงหลักเกณฑ์การให้สินเชื่อของธนาคารว่าดูจากปัจจัยอะไรบ้าง ซึ่งมีปัจจัยหลักๆ 5 ข้อ ประกอบด้วย*
ต้องการนำเงินไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบมาขาย หรือต้องการนำเงินไปลงทุน เช่น นำไปเช่าหรือเซ้งร้านค้า ปรับปรุงร้านค้า หรือซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ เป็นต้น
หากความสามารถชำระหนี้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 1.5 เท่า (ตัวเลขสมมติ) ทางธนาคารมักจะเสนอทางเลือกให้พ่อค้าแม่ค้าฯ หรือผู้ขอสินเชื่อแบ่งออกเป็น 2 ทางเลือก ได้แก่ ทางเลือกที่ 1) ลดวงเงินที่ขอสินเชื่อลงให้เพียงพอกับความสามารถชำระหนี้ที่มีอยู่ หรือ ทางเลือกที่ 2) ชำระหนี้เก่า (ถ้ามี) เพื่อให้ขอสินเชื่อได้เต็มจำนวนหรือขอให้ได้มากที่สุดบนความสามารถชำระหนี้ที่มี แต่ในกรณีนี้ต้องมีเงินสำรองเพื่อไปปิดหนี้เก่าที่มีอยู่ก่อน
สำหรับการปล่อยสินเชื่อของธนาคารจะดูจากปัจจัยทั้ง 5 ข้อดังกล่าวนำมาประกอบกันทั้งหมด แต่จะให้น้ำหนักไปในเรื่องของรายได้จากการขายเทียบกับรายการเดินสเตทเม้นท์และเทียบกับบิลการค้า (บิลซื้อและบิลขาย) ว่ามีความสอดคล้องกัน เพราะธนาคารจะให้ความสำคัญกับความสามารถในการชำระหนี้เป็นหลัก ดังนั้น จากคำถามของกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าฯ ที่ถามกันเข้ามาว่า “หากไม่ได้เดินสเตทเม้นท์” หรือ “ไม่ได้เดินบัญชีกับธนาคาร” จะขอสินเชื่อจากธนาคารได้หรือไม่ คำตอบคือ ผลการอนุมัติมีโอกาสที่จะถูกปฏิเสธการขอสินเชื่อค่อนข้างสูง เพราะไม่สามารถพิสูจน์รายได้ที่แท้จริงได้
ทั้งนี้ หากเป็นสินเชื่อที่ธนาคารออกมารองรับกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าที่ค้าขายด้วยเงินสดเป็นหลัก หรือเป็น พ่อค้าแม่ค้ากลุ่มที่ค้าขายเป็นเงินสด เดินบัญชีกับธนาคารน้อย สามารถขอสินเชื่อที่เรียกว่า “สินเชื่อ SME อเนกประสงค์” ได้ ซึ่งจะทำให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบหรือจากธนาคารได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องหันไปพึ่งพาเงินกู้นอกระบบ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่
ปกติการขอสินเชื่อธุรกิจจากธนาคาร จะดูว่ามีการทำการค้าขายจริงหรือไม่ วัตถุประสงค์การขอสินเชื่อใช้เพื่อการค้าหรือไม่ มีประวัติการใช้สินเชื่อเป็นปกติหรือไม่ มีรายได้หักค่าใช้จ่ายแล้วเหลือกำไรสุทธิเพียงพอชำระหนี้หรือไม่ ในส่วนของรายได้จะเทียบกับรายการเดินสเตทเม้นท์เทียบกับบิลการค้า และดูสัดส่วนเงินให้กู้ต่อมูลค่าหลักทรัพย์ ซึ่งหากไม่เดินสเตทเม้นท์ ถ้าเป็นการขอสินเชื่อปกติมีโอกาสจะไม่ได้รับการอนุมัติ เพราะไม่สามารถพิสูจน์รายได้ที่แท้จริงได้ แต่ถ้ากลุ่มพ่อค้าแม่ค้าขายสินค้าตามตลาดนัด รวมทั้งกลุ่มหาบเร่ แผงลอย รถเข็น รถพุ่มพวง เป็นต้น ที่ไม่ได้เดินสเตทเม้นท์ หรือไม่ได้เดินบัญชีกับธนาคาร สามารถขอสินเชื่อที่เรียกว่า “สินเชื่อ SME อเนกประสงค์” ได้ ซึ่งธนาคารออกมาให้กับกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าที่ค้าขายเงินสดเป็นหลัก หากมีข้อสงสัยสอบถามได้ที่ LINE @kbanklive หรือ K-Contact Center 02-8888888 กด 8 กด 1 กด 4 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือสอบถามผ่านสาขาของธนาคารที่สะดวกได้เช่นกัน
หมายเหตุ
* โปรดตรวจสอบเงื่อนไขต่างๆ อัตราดอกเบี้ย และรายการส่งเสริมการขาย ก่อนขอสินเชื่อจากธนาคารทุกครั้ง
อ่านบทความช่วยเรื่องกู้รู้จริงเพิ่มเติม
คลิกเลยวันที่มีผล | อัตราดอกเบี้ยนโยบายธนาคารแห่งประเทศไทย (%) | ส่วนต่าง (%) | วันที่มีผล | อัตราดอกเบี้ย MRR ธนาคารกสิกรไทย (%) | ส่วนต่าง (%) |
8 มิ.ย. 2565 | 0.50 | 8 มิ.ย. 2565 | 5.97 | ||
10 ส.ค. 2565 | 0.75 | 0.25 | 10 ส.ค. 2565 | 5.97 | 0.00 |
28 ก.ย. 2565 | 1.00 | 0.25 | 7 พ.ย.2565 | 5.97 | 0.00 |
30 พ.ย. 2565 | 1.25 | 0.25 | 8 ธ.ค. 2565 | 6.10 | 0.13 |
25 ม.ค. 2566 | 1.50 | 0.25 | 3 ม.ค. 2566 | 6.50 | 0.40 |
29 มี.ค. 2566 | 1.75 | 0.25 | 30 ม.ค. 2566 | 6.60 | 0.10 |
31 พ.ค. 2566 | 2.00 | 0.25 | 17 เม.ย. 2566 | 6.85 | 0.25 |
2 ส.ค. 2566 | 2.25 | 0.25 | 6 มิ.ย. 2566 | 7.05 | 0.20 |
27 ก.ย. 2566 | 2.50 | 0.25 | 4 ต.ค. 2566 | 7.30 | 0.25 |
อัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นตั้งแต่ 8 มิย.65 | 2.00 | อัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นตั้งแต่ 8 มิย.65 | 1.33 |
งวด | ดอกเบี้ย | ยอดผ่อน | ยอดคงเหลือ | ดอกเบี้ย |
0 | ยอดกู้ 2,500,000 | 2,500,000 | 7.30% | |
1 | 15,000 | 17,139 | 2,497,861 | 7.30% |
12 | 14,854 | 17,139 | 2,473,464 | 7.30% |
24 | 14,684 | 17,139 | 2,444,954 | 7.30% |
60 | 14,095 | 17,139 | 2,346,048 | 7.30% |
120 | 12,780 | 17,139 | 2,125,621 | 7.30% |
180 | 10,898 | 17,139 | 1,810,017 | 7.30% |
240 | 8,202 | 17,139 | 1,358,138 | 7.30% |
300 | 4,344 | 17,139 | 711,144 | 7.30% |
348 | 88 | 14,701 | - | 7.30% |
ดอกเบี้ยจ่าย | 3,462,028 |
งวด | ดอกเบี้ย | ยอดผ่อน | ยอดคงเหลือ | ดอกเบี้ย |
0 | ยอดกู้ 2,500,000 | 2,500,000 | 7.30% | |
1 | 15,000 | 18,139 | 2,496,861 | 7.30% |
12 | 14,786 | 18,139 | 2,461,064 | 7.30% |
24 | 14,537 | 18,139 | 2,419,230 | 7.30% |
60 | 13,671 | 18,139 | 2,274,103 | 7.30% |
120 | 11,742 | 18,139 | 1,950,666 | 7.30% |
180 | 8,980 | 18,139 | 1,487,572 | 7.30% |
240 | 5,026 | 18,139 | 824,520 | 7.30% |
294 | 26 | 4,294 | - | 7.30% |
รวมดอกเบี้ย | 2,819,021 |