มาแรงสุดในยุคนี้ หนีไม่พ้นการทำอี-คอมเมิร์ซ ที่ไม่ว่าจะธุรกิจเล็กหรือใหญ่ต่างต้องการแย่งชิงพื้นที่นี้กันทั้งนั้น ซึ่งการจะอยู่ต่อให้รอดบนโลกที่ออนไลน์ครองเมืองแบบนี้ ต้องรู้ให้ทันเทรนด์ พร้อมเก็บและใช้ Data ให้เป็น ซึ่งนี่คือเคล็ดลับบอกต่อจาก
ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ บริษัท TARAD.com ในงานสัมมนา Live Concern : เพลย์ลิสต์ พลิกเกมธุรกิจ Season 2 ที่ธนาคารกสิกรไทยจัดขึ้น ในหัวข้อ “ลึกสุดใจ : รู้ข้อมูลให้ลึก รับมือโลกยุคดิสรัปชัน”
รู้ทันเทรนด์ ส่องทิศทางอี-คอมเมิร์ซ
- Marketplace เติบโตมากที่สุด
Marketplace จะกลายเป็นช่องทางการขายที่เติบโตสูงสุดของวงการอี-คอมเมิร์ซ จากการแข่งขันกันอย่างดุเดือดของ Lazada, Shopee และ JD Central ทำให้ช่องทางการขายนี้เริ่มมีสัดส่วนทางการตลาดที่เติบโตขึ้น
- โซเชียลมีเดีย เริ่มเสื่อมมนตรา
แม้จะยังเติบโตอยู่ แต่การที่ผู้บริโภคสามารถเลือกได้ว่าจะให้แพลตฟอร์ม แอปพลิเคชัน หรือผู้ให้บริการต่างๆ สามารถติดตามได้หรือไม่ ส่งผลให้การยิงโฆษณาของโซเชียลมีเดีย ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญเริ่มมีความแม่นยำน้อยลงนั่นเอง
- O2O Marketing มาแรง
แม้จะเป็นยุคที่อี-คอมเมิร์ซเฟื่องฟู แต่ภาวุธบอกว่า ต่อไปจะขายออนไลน์หรือออฟไลน์อย่างเดียวไม่ได้ เพราะต้องผสานทั้งสองช่องทางเข้าด้วยกัน โดยร้านค้าจะเริ่มเปลี่ยนตัวเองเป็น Automation หรือระบบอัตโนมัติมากขึ้น เช่น การขายสินค้าผ่านเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติ
(Vending Machine) ร้านค้าปราศจากแคชเชียร์แบบ Amazon Go และการสั่งงานด้วยเสียงผ่านอุปกรณ์ต่างๆ
- D2C น่าจับตา
เมื่อออนไลน์ทำให้ผู้ขายและลูกค้าเข้าใกล้กันมากขึ้น จึงเกิดเทรนด์ใหม่อย่าง D2C (Direct to Consumer) หรือการที่แบรนด์และโรงงานขายสินค้าไปยังลูกค้าโดยตรง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนให้ธุรกิจและทำให้ลูกค้ามีแนวโน้มซื้อของต่อครั้งในปริมาณที่มากขึ้น
ในขณะเดียวกันกลายเป็นความท้าทายของตัวกลางที่นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศหรือจากโรงงาน โดยเฉพาะคนที่นำเข้าสินค้าจากจีน
- Data อาวุธหลักช่วยให้ธุรกิจสำเร็จ
นับจากนี้ Data จะไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เรียกได้ว่า มีแค่กระดาษก็สามารถเก็บข้อมูลได้ เช่น จดบันทึกว่าช่วงเวลาไหนขายดี สินค้าไหนขายดีที่สุด ยอดขายแต่ละวันเป็นอย่างไร ลูกค้าเข้ามาในร้านค้ากี่คน ลูกค้าเป็นใคร อายุเท่าไร ซึ่งการมีข้อมูลเหล่านี้
จะทำให้สามารถต่อยอดและวางกลยุทธ์ธุรกิจได้อย่างแม่นยำมากขึ้น หรือถ้าไม่ใช้การจด เจ้าของธุรกิจสามารถเลือกใช้เครื่องมือดิจิทัลมาช่วยในการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลก็ได้เช่นกัน
อีกประเด็นสำคัญสำหรับเรื่องของข้อมูลลูกค้า ที่เจ้าของธุรกิจยังต้องรู้ไว้ นั่นคือ ในวันที่ 1 มิถุนายน 2565 จะมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA (Personal Data Protection Act) ซึ่งจะเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการเก็บและใช้ข้อมูลของลูกค้า
ซึ่งต้องได้รับการยินยอม หากฝ่าฝืนจะมีโทษทางกฎหมาย
9 เครื่องมือเด็ด! ที่เจ้าของธุรกิจห้ามพลาด
นอกจากนี้ ภาวุธยังได้แนะนำเครื่องมือดิจิทัลที่จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถจัดเก็บข้อมูลลูกค้าและคู่แข่งได้อย่างง่ายๆ รวมถึงเครื่องมือที่ใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพงานหลังบ้านอีกด้วย
- TARAD U-Commerce แพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ที่เชื่อมต่อข้อมูลทุก Marketplace ระบบหน้าร้านค้า ระบบขนส่ง และระบบการชำระเงิน ทำให้รู้ยอดขาย ได้ข้อมูลลูกค้า
- Google Data Studio เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ ใช้ในการรวบรวมข้อมูลจากหลายๆ แหล่งให้รวมอยู่ในที่เดียว และสามารถทำเป็น Dashboard ดูข้อมูลแบบเรียลไทม์ได้
- JUBILI by BUILK โปรแกรม CRM สำหรับธุรกิจ ช่วยในการจัดการข้อมูลลูกค้า บันทึกทุกกิจกรรมการขาย ออกใบเสร็จ ใบเสนอราคาผ่านระบบได้ ทำให้การทำงานของทีมขายมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- Creden Data สามารถดูข้อมูลนิติบุคคลต่างๆ ได้ ทั้งงบการเงิน เครดิตการค้า รวมถึงข้อมูลการจัดอันดับธุรกิจที่มีรายได้มากที่สุดในประเทศไทย และบริษัทที่มีรายได้มากที่สุดรายจังหวัดและรายธุรกิจ
- WISESIGHT เครื่องมือในการฟังเสียงบนโลกออนไลน์ว่ามีใครพูดถึงแบรนด์อย่างไรบ้าง หรือในแต่ละช่องทางบนโซเชียลมีเดียมีแบรนด์ไหนถูกพูดถึงมากที่สุด
- Google Chat แอปฯ สำหรับการรับ-ส่งข้อความของธุรกิจ ใช้ในการสื่อสารภายในองค์กร
- Creden eSign ระบบเซ็นเอกสารออนไลน์ได้ทุกที่ ทุกเวลาแบบถูกกฎหมายและปลอดภัย
- Makub ระบบลงเวลาเข้า-ออก แทนการตอกบัตรของพนักงาน
- Peak Engine ระบบทำบัญชีออนไลน์ ช่วยให้เห็นข้อมูลการเงินแบบเรียลไทม์
พ่อมดแห่งวงการอี-คอมเมิร์ซไทย ฝากไว้ว่า ทำธุรกิจยุคนี้ต้องตื่นตัวและเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา เพราะถ้าปรับตัวไม่ทัน โอกาสทำธุรกิจของเราจะหายไป ที่สำคัญ ต้องลงมือทำทันที เพราะถ้าช้า คู่แข่งจะเข้าไปยึดครองพื้นที่และลูกค้าได้ก่อนเรา