ผู้บริโภคมีพฤติกรรมเป็นอย่างไร?
หน้าตาของลูกค้าคนเดิมแต่พฤติกรรมในปีนี้อาจดูเปลี่ยนไป หลังจากต้องเผชิญกับการลากยาวของ COVID-19 มากว่า 2 ปี
และการเปลี่ยนแปลงของโลกและเทคโนโลยีที่รวดเร็ว โดยมี 3 พฤติกรรมหลักที่คนทำการค้าต้องรู้ คือ
1. ลูกค้าจะตั้งคำถามกับตัวเองทุกครั้งว่า “จะซื้อตอนนี้หรือรอก่อน” แทนการจะซื้อทางออนไลน์หรือออฟไลน์ ซึ่งหากธุรกิจไหนสามารถให้ข้อมูลสินค้า บริการ และการจัดส่งได้ดี จะสามารถตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ได้
2. ทวีความเข้มข้นในการตั้งคำถามและหาคำตอบในเรื่องของความยั่งยืน เช่น เช่าเสื้อผ้าใส่หรือซื้อเสื้อผ้าแล้วรีไซเคิล แบบไหนจะยั่งยืนกว่ากัน หรือใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรือไฮบริด แบบไหนจะมีคาร์บอนฟุตพรินต์น้อยกว่ากัน
ซึ่งแบรนด์ควรให้ข้อมูลและตอบข้อสงสัยที่ลูกค้ามีได้อย่างชัดเจน
3. ชอบซื้อของจากแบรนด์โดยตรง ซึ่งแบรนด์ต้องทำให้ขั้นตอนการซื้อไม่ยุ่งยากและสะดวกที่สุด เพื่อประสบการณ์ที่ดีและการกลับมาซื้อซ้ำของลูกค้า
1. Maximal Inside, Minimal Outside หรือการออกแบบภายนอกให้ดูน้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ แต่ข้างในเล่นใหญ่จัดเต็ม เพื่อสร้างความน่าตื่นตาตื่นใจ ไม่จำเจให้กับลูกค้าเวลาเปิดบรรจุภัณฑ์
2. Interactive Packaging หรือการทำแพ็กเกจจิงอัจฉริยะให้สามารถโต้ตอบกับลูกค้าได้ เช่น การใช้ QR Code ให้ลูกค้าสแกน เพื่อดูข้อมูลของสินค้า หรือเข้าร่วมกิจกรรมของแบรนด์
3. Sustainable Packaging หรือการใช้วัสดุจากธรรมชาติที่ย่อยสลายได้มาทำเป็นบรรจุภัณฑ์ ซึ่งยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่อง
4. Hygiene and Safety Design หรือการออกแบบบรรจุภัณฑ์โดยคำนึงถึงเรื่องของความปลอดภัย แน่นหนา ถูกสุขอนามัย เพราะลูกค้ายังคงกังวลเกี่ยวกับเชื้อไวรัส COVID-19
5. Transparent Packaging หรือแพ็กเกจจิงโปร่งใสที่โชว์ให้เห็นสินค้าข้างในเป็นอีกเทรนด์ที่น่าจับตาในปีนี้ เนื่องจากลูกค้ามีความกังวลเกี่ยวกับส่วนผสมในผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะอาหารและกระบวนการผลิตมากขึ้น
ดังนั้น การแสดงให้เห็นตัวสินค้าด้านในจะช่วยตอบโจทย์นี้ได้
ส่งออกอะไรถึงเติบโตได้ดี?
ด้านธุรกิจที่ทำการค้าระหว่างประเทศ ถ้าอยากจะเดินหน้าต่อได้ในปี 2565 นี่คือ 5 เสือสินค้าดาวรุ่งที่มีโอกาสขยายตัว ได้แก่
- สินค้าเกษตรและอาหาร เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา น้ำตาลทราย ผัก ผลไม้ สด แช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป อาหารทะเลแปรรูป เครื่องดื่ม สิ่งปรุงอาหาร น้ำผลไม้
- สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้านและเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เช่น คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ โทรศัพท์ โทรทัศน์ แอร์ เตาอบ ไมโครเวฟ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน
- สินค้าเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ ถุงมือยาง และผลิตภัณฑ์เภสัชภัณฑ์
- สินค้าขั้นกลางหรือสินค้าวัตถุดิบ เช่น เหล็ก เหล็กกล้า เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ยางยานพาหนะ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ
- สินค้าคงทนหรือสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีราคาสูง เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ
นอกจากนี้ อาหารสัตว์เลี้ยง ยังเป็นอีกกลุ่มสินค้าที่จะมาแรงในปีนี้เช่นเดียวกัน โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง
ของไทยมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการควรเร่งสร้างแบรนด์และเน้นกลุ่มอาหารสัตว์พรีเมียม ยกระดับมาตรฐานการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และพัฒนาสูตรอาหารที่เน้นเรื่องสุขภาพอนามัยของสัตว์เลี้ยง
เพื่อเจาะตลาดนี้โดยเฉพาะ
สีไหนมาแรง?
เพราะสีมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าถึง 85% ดังนั้น การจะนำสีไหนไปใช้ในการผลิตหรือออกแบบสินค้า บรรจุภัณฑ์ โลโก้ หรือ
แม้กระทั่งตัวหนังสือ ล้วนมีผลต่อยอดขายและทำกำไรของธุรกิจทั้งสิ้น สำหรับเทรนด์สีปีนี้ Pantone บริษัทออกแบบชั้นนำของสหรัฐอเมริกาได้กำหนดให้ สีม่วง Very Peri (PANTONE 17-3938) เป็นสีประจำปี 2565 โดยสื่อถึงความกล้าหาญ
ความคิดสร้างสรรค์ และการเปลี่ยนแปลง
- ส้มแสนสงบ (#E9967A) ให้ความรู้สึกสบายและสงบ ใช้แล้วทำให้มีกลิ่นอายแบบย้อนยุค
- ม่วงกำมะหยี่ (#800080) ให้ความรู้สึกหรูหรา มั่นใจแบบสง่างามมีสไตล์ ใช้แล้วดูมีพลัง
- ชมพูระเรื่อ (#DB7093) ให้ความรู้สึกอ่อนหวาน ใช้แล้วดูละมุน
- สีเขียวในโทนต่างๆ เช่น สีเขียวมรกต หยก เขียวมะนาว หรือมินต์ ใช้แล้วดูสดใสและสนุกสนาน
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเทรนด์ที่คนทำธุรกิจปีนี้ไม่ควรพลาดที่จะนำมาปรับใช้ เพื่อเพิ่มจุดแข็งให้สินค้าและบริการ และทำให้กิจการเดินหน้าได้อย่างเต็มสูบอีกครั้ง