กลุ่มสหภาพยุโรปได้เตรียมยกเลิกการใช้น้ำมันปาล์มในการผลิตเชื้อเพลิงไบโอดีเซลภายในปี 2564 ซึ่งปัจจัยดังกล่าว ส่งผลกดดันต่อผู้ผลิตหลัก 3 รายใหญ่ของโลกอันได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ที่จะเผชิญกับทิศทางราคาปาล์มน้ำมันซึ่งอาจปรับลดลง เนื่องจากสหภาพยุโรปเป็นตลาดใหญ่ที่มีการนำเข้าน้ำมันปาล์มถึงปีละกว่า 6 ล้านตัน
ประเทศไทยเองแม้ว่าจะได้รับผลกระทบทางตรงจากมาตรการดังกล่าวในระดับที่น้อยกว่าประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซีย เนื่องจากปกติผลผลิตน้ำมันปาล์มของไทย ส่วนใหญ่ร้อยละ 81 จะถูกใช้ในประเทศ และมีส่งออกเพียงร้อยละ 12 ที่เหลือเก็บเป็นสต็อก ขณะที่สัดส่วนการส่งออกส่วนใหญ่จะเป็นประเทศในแถบเอเชียเป็นหลัก อาทิ อินเดียที่มีสัดส่วนส่งออกถึงร้อยละ 78 รองลงมาคือ เมียนมา มาเลเซีย จีน และกัมพูชา ที่มีสัดส่วนการส่งออกรวมกันประมาณร้อยละ 21 แต่อย่างไรก็ตาม ไทยเองก็ย่อมจะหลีกเลี่ยงผลกระทบทางอ้อมได้ยาก
แม้ว่าน้ำมันปาล์มจะไม่ได้ติดอันดับสินค้าการเกษตรที่ไทยมีการส่งออก 10 อันดับแรก รวมถึงมีการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปไม่มากนัก แต่เนื่องจากไทยเป็นผู้ปลูกปาล์มน้ำมันรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก ดังนั้นมาตรการที่ EU จะนำมาใช้ จึงส่งผลกระทบทางอ้อมต่อไทย ทั้งผลเชิงบวกและเชิงลบต่อห่วงโซ่การผลิตปาล์มน้ำมัน ซึ่งมีดังนี้
หากกฎหมายใหม่ของ EU ถูกนำมาใช้ตามเป้าหมายในปี 2564 จริง ธุรกิจ SME ที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตอุตสาหกรรมปาล์มของไทย ก็ยากจะหลีกเลี่ยงผลกระทบ โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีศักยภาพการผลิตต่ำและมีต้นทุนการผลิตสูง ซึ่งมีเวลาอีก 2-3 ปีในการเตรียมมาตรการรับมือกับประเด็นความท้าทายดังกล่าว
ผู้ประกอบการ SME ที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิต ซึ่งได้รับผลกระทบเชิงลบ โดยเฉพาะผู้ผลิตน้ำมันปาล์ม อาจจำเป็นต้องมีมาตรการรับมือ กับประเด็นความท้าทายดังกล่าวล่วงหน้า โดยเฉพาะการลดต้นทุนการผลิต อาทิ การส่งเสริมและสนับสนุนพันธุ์ปาล์ม ที่ให้ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่สูงแก่เกษตรกรที่ส่งปาล์มเข้าโรงงาน ขณะเดียวกันก็ควรสนับสนุนให้มีการทำปาล์มแปลงใหญ่ของบริษัท รวมถึงแปลงใหญ่ของเกษตรกรที่รวมกลุ่มกัน นอกจากนี้ ควรปรับปรุงเครื่องจักรที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ ในการสกัดและกลั่นน้ำมันปาล์ม และลดการสูญเสียในกระบวนการผลิต ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ประกอบการของไทยมีศักยภาพการแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้มากขึ้น
สินเชื่อที่เกี่ยวข้อง : สินเชื่อและบริการยอดฮิต