เปิดทิศทางหุ้นไทย สิ่งที่ต้องจับตาหลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่

เปิดทิศทางหุ้นไทย สิ่งที่ต้องจับตาหลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่

​        การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ในประเทศไทยเป็นเหตุการณ์สำคัญที่มักส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตลาดหุ้นไทยซึ่งมีปัจจัยหลายประการที่ส่งผลกระทบทั้งในเชิงบวกและลบ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนมักให้ความสนใจ เนื่องจากการบริหารจัดการประเทศภายใต้นโยบายใหม่ๆ จะมีผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม การบริโภค การลงทุน และความเชื่อมั่นของนักลงทุน


ภาพรวมขอ​งตลาดหุ้นไทย



        ก่อนการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของคุณแพทองธาร ชินวัตร ตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงของความไม่แน่นอน เนื่องจากปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศ นักวิเคราะห์หลายฝ่ายระบุว่าการที่ประเทศไทยไม่มีความชัดเจนทางการเมืองในระยะเวลานานมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในขณะเดียวกัน ปัจจัยภายนอก เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความไม่แน่นอนทางการค้าระหว่างประเทศ และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับตลาดหุ้นไทยมากขึ้น

ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อหุ้นไทยมีหลากหลายมิติ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ได้แก่ ปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน โดยแต่ละกลุ่มมีความสำคัญและมีอิทธิพลต่อทิศทางและความผันผวนของตลาดหุ้นไทยเป็นอย่างมาก



ปัจจัยภายนอก
เศรษฐกิจโลก :
        • การชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศพัฒนาแล้ว: การที่เศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา, ยุโรป หรือญี่ปุ่นชะลอตัวจะมีผลกระทบโดยตรงต่อการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงการส่งออกของไทยที่มีสัดส่วนใหญ่ การลดลงของความต้องการสินค้าจากประเทศไทยอาจทำให้รายได้จากการส่งออกลดลง ซึ่งส่งผลต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย และสามารถทำให้ราคาหุ้นตกต่ำ
        • การเติบโตที่ลดลงในกลุ่มประเทศเกิดใหม่: ประเทศที่กำลังพัฒนาเช่นจีนหรืออินเดีย หากมีการเติบโตที่ลดลง จะส่งผลให้ความต้องการสินค้าและบริการที่มาจากประเทศไทยลดลงเช่นกัน การเปลี่ยนแปลงนี้จะสร้างความไม่แน่นอนในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากบริษัทที่มีการค้าระหว่างประเทศกับกลุ่มประเทศเกิดใหม่จะได้รับผลกระทบโดยตรง
        • ความผันผวนในตลาดการเงินโลก:
        • การเปลี่ยนแปลงของดอกเบี้ยในประเทศพัฒนาแล้ว: การปรับขึ้นดอกเบี้ยในประเทศเช่นสหรัฐอเมริกาสามารถดึงดูดนักลงทุนให้หันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีดอกเบี้ยสูงกว่า ซึ่งอาจทำให้เงินทุนที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยลดลง ส่งผลให้ราคาหุ้นไทยมีความผันผวน
        • ความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์: ราคาน้ำมัน, ทองคำ หรือ วัตถุดิบสำคัญอื่น ๆ ที่มีความผันผวนสามารถส่งผลกระทบต่อหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิตหรือการส่งออกของสินค้าเหล่านี้

​​

ปัจจัยภายใน
การเมืองภายในประเทศ :
        • ความไม่แน่นอนทางการเมือง: การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล, ความขัดแย้งทางการเมือง หรือการเปลี่ยนแปลงในนโยบายรัฐบาลสามารถสร้างความวิตกกังวลในเรื่องของเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมการลงทุน ซึ่งอาจทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนมากขึ้น นักลงทุนอาจรอดูความชัดเจนก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน
        • นโยบายการคลัง: การตัดสินใจเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาล, โครงการลงทุนขนาดใหญ่ หรือการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายที่มีผลกระทบต่อธุรกิจสามารถส่งผลกระทบโดยตรงต่อหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับนโยบายเหล่านั้น

นโยบายการเงิน :
        • การปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ย: การเปลี่ยนแปลงในอัตราดอกเบี้ยโดยธนาคารแห่งประเทศไทยมีผลต่อความสามารถในการลงทุนและการบริโภคภายในประเทศ หากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น จะทำให้ค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมสูงขึ้น ส่งผลให้การลงทุนและการบริโภคลดลง ซึ่งสามารถทำให้ผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ ลดลงและส่งผลให้ราคาหุ้นลดลงได้
        • การเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน: การเปลี่ยนแปลงในอัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทต่อสกุลเงินหลัก เช่น ดอลลาร์สหรัฐ, ยูโร หรือเยน สามารถมีผลกระทบต่อบริษัทที่มีการทำธุรกิจระหว่างประเทศ การแข็งค่าของเงินบาทอาจทำให้สินค้าส่งออกของไทยมีราคาสูงขึ้นในตลาดต่างประเทศ ซึ่งอาจลดลงความสามารถในการแข่งขัน และในทางกลับกัน การอ่อนค่าของเงินบาทอาจทำให้ราคาสินค้านำเข้าสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อบริษัทที่พึ่งพาการนำเข้า

แนวโน้มเศรษฐกิจและตล​าดหุ้นไทยหลังการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่



หลังการจัดตั้งรัฐบาลชุดล่าสุดที่นำโดยแพทองธาร ชินวัตร มีหลายนโยบายที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นของไทย รวมถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน เช่น

1. นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการบริโภค การเสนอการแจกเงินดิจิทัลผ่าน Digital Wallet โดยแต่ละคนจะได้รับเงินเพื่อใช้จ่ายในท้องถิ่น ซึ่งเป็นนโยบายที่มุ่งเน้นกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจระดับท้องถิ่น หากนโยบายนี้สำเร็จ จะเกิดการขยายตัวของการบริโภคภายในประเทศและการหมุนเวียนของเงินภายในระบบเศรษฐกิจ เพิ่มกำลังซื้อและกระตุ้นธุรกิจขนาดเล็ก รวมถึงผู้ประกอบการในชุมชน

2. การฟื้นกองทุนวายุภักษ์ เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ครม.ได้อนุมัติกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง (Vayupak Fund 1) วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท โดยเป็นกองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐบาลไทย ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและเพิ่มเสถียรภาพของตลาดทุน การจัดตั้งกองทุนนี้มีการลงทุนในหลักทรัพย์ของรัฐวิสาหกิจและบริษัทเอกชนที่มีความแข็งแกร่ง โดยมีการจัดสรรเงินทุนจากทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดการกระจายตัวของความเสี่ยง และสร้างโอกาสให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพ โดยกองทุนจะสามารถสนับสนุนเศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นไทยได้จากปัจจัยต่างๆ เช่น
      • เสริมสภาพคล่องในตลาดทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจ : กองทุนนี้ช่วยเพิ่มสภาพคล่องในตลาดหุ้นโดยการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งมีปัจจัยพื้นฐานดีมีความมั่นคงในระยะยาว มีการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี และจะช่วยส่งเสริมให้นักลงทุนมีความมั่นใจในการลงทุนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความแข็งแกร่งมากขึ้นในระยะยาว
      • เสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อภาคการเงิน : การที่กองทุนลงทุนในบริษัทที่มีความมั่นคง ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ นักลงทุนต่างชาติก็อาจเห็นว่าตลาดหุ้นไทยมีเสถียรภาพและปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งจะช่วยดึงดูดการลงทุนจากภายนอก
      • เพิ่มโอกาสการเติบโตระยะยาวของผู้ถือหน่วยลงทุน : ผู้ที่ลงทุนในกองทุนวายุภักษ์จะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการเติบโตของบริษัทในรูปแบบของเงินปันผล นอกจากนี้ยังเป็นการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน
      • เสริมเสถียรภาพตลาดหุ้นในช่วงวิกฤต : หากเกิดภาวะวิกฤติเศรษฐกิจหรือความผันผวนในตลาดหุ้น กองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง สามารถทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรักษาเสถียรภาพ เนื่องจากกองทุนจะเข้ามาช่วยลดแรงขายและเพิ่มสภาพคล่องในตลาด



3. การฟื้นฟูการท่องเที่ยว ภาคการท่องเที่ยวเป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสถานการณ์โควิด รัฐบาลมุ่งเน้นการฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง เช่น การลดข้อจำกัดในการเดินทางเข้าประเทศ การอำนวยความสะดวกแก่ผู้ขอวีซ่า เช่น กลุ่มชาวต่างชาติผู้เข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ กลุ่มชาวต่างชาติที่ทำงานทางไกล และคาดว่าจะมีการผลักดันมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวอื่นๆ เช่น แหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น สถานบันเทิงครบวงจร 

4. นโยบายการกระตุ้นการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม รัฐบาลยังมีเป้าหมายในการส่งเสริมเทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น การสนับสนุนภาคธุรกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสุขภาพและบริการทางการแพทย์ เศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งจะเพิ่มโอกาสความได้เปรียบในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว

5. ความเชื่อมั่นของนักลงทุน การจัดตั้งรัฐบาลใหม่มีผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน นโยบายต่างๆ เช่น การกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ การลงทุนภาครัฐ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และการส่งเสริมเทคโนโลยี ล้วนมีผลต่อทิศทางของตลาดหุ้นในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ตลาดหุ้นอาจตอบสนองแตกต่างกันไปตามลักษณะของแต่ละภาคธุรกิจ

การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ความสำเร็จของรัฐบาลในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงทางการเมืองของไทยที่ยังคงมีอยู่ ยังคงเป็นปัจจัยที่สร้างความไม่แน่นอนให้กับตลาดหุ้น

นอกเหนือจากปัจจัยทางการเมืองแล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น เช่น ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ความท้าทายภายในประเทศที่ยังคงไม่แน่นอน รวมถึงความสามารถของรัฐบาลในการจัดการหนี้สาธารณะ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่นักลงทุนต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

แนวโน้มของหุ้นไทยใ​นอนาคต



การจัดตั้งรัฐบาลใหม่มีผลให้ตลาดหุ้นไทยเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น นักลงทุนอาจเริ่มเห็นทิศทางการลงทุนชัดเจนขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม แนวโน้มตลาดหุ้นไทยยังคงต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เช่น สถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลก การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมสำคัญอย่างท่องเที่ยวและการส่งออก

โอกาสสำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยมักจะมาจากภาคธุรกิจที่ได้รับผลประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ เช่น ธุรกิจค้าปลีกที่ได้รับผลดีจากการบริโภคที่เพิ่มขึ้นจากการแจกเงินดิจิตอล และธุรกิจการก่อสร้างที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน

ในขณะเดียวกัน ความเสี่ยงก็ยังมีอยู่ เช่น ความไม่แน่นอนทางการเมือง ความล่าช้าในการดำเนินนโยบาย และผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ซึ่งอาจทำให้ตลาดหุ้นไทยเผชิญกับความผันผวนในระยะสั้น

คำแนะนำการลงทุนในหุ้นไ​ทย

สำหรับนักลงทุนที่มีการถือครองกองทุนหุ้นไทยอยู่แล้ว แนะนำให้ ถือครองต่อไปได้ และรอดูสถานการณ์ เนื่องจากยังคงมีความผันผวนในตลาดจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ การดำเนินนโยบายของรัฐบาลใหม่ยังเป็นสิ่งที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในระยะต่อไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนเพิ่มเติมในหุ้นไทย แนะนำให้พิจารณา กองทุนลดหย่อนภาษี เช่น กองทุน Thai ESG ที่เน้นการลงทุนในหุ้น ESG (Environmental, Social, and Governance)  เนื่องจากไม่เพียงแต่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่ยังเป็นการลงทุนในธุรกิจที่ยั่งยืนและมีการบริหารจัดการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนอย่างยั่งยืนในอนาคต

นักลงทุนควรประเมินความเสี่ยงและติดตามข่าวสารและการดำเนินนโยบายของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง
เพื่อประกอบการตัดสินใจในการลงทุน

วรสุดา ใช้เทียมวงศ์ CFP

ผลิตภัณฑ์แนะนำที่เกี่ยวข้อง

​อ่านรายละเอียดกองทุน
​ซื้อกองทุนผ่าน K PLUS
​K-ESGSI-ThaiESG


​K-TNZ-ThaiESG 



บทความที่เกี่ยวข้อง
    • ตลาดหุ้นไทยยังเปิดให้บริการอยู่ แถมราคายังถูก อัพไซส์ก็มี คลิก
    • หุ้นไทยสดใส ขานรับกองทุนวายุภักษ์พร้อม ครม.ชุดใหม่ คลิก​