Sign In

KBank Private Banking
02-8888811

Market updates

สองข่าวดี ส่งท้ายปี 2022

18 พฤศจิกายน 2565

​​​​หลังจากที่นักลงทุนผิดหวังกับข่าวร้ายหลายประเด็นตลอดปี ทั้งจากรายงานตัวเลขเงินเฟ้อที่ออกมาสูงกว่าคาดมาหลายเดือน ผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่ออกมาในโทนเข้มงวดหรือ Hawkish กว่าที่ประเมินไว้ ตลอดจนแนวทางการเปิดประเทศของจีนที่ยังไม่ชัดเจน ส่งผลให้ตลาดหุ้นดิ่งลงอย่างหนัก และบอนด์ยีลด์ขยับขึ้นมาตลอด

โดยเงินเฟ้อเดือนตุลาคมของสหรัฐฯ ลดลงจากเดือนก่อนหน้าและน้อยกว่าตลาดคาด เงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ +7.7% เมื่อเทียบปีต่อปี และเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ +6.3% โดยราคาสินค้าปรับลงเกือบทุกหมวดอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะ อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน รถยนต์ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ด้านราคาภาคบริการก็ปรับเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลง โดยเฉพาะกลุ่มบริการทางการแพทย์ที่มีสัญญาณอ่อนตัว

นำโดยดัชนี NASDAQ ที่ประกอบด้วยหุ้นเติบโตสูง (Growth Stocks) เป็นหลัก พุ่งขึ้นถึงกว่า 7% หลังถูกเทขายอย่างหนักก่อนหน้านี้ ด้านตลาดพันธบัตรก็ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 2% หลังบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ 10 ปี ปรับลงราว 0.3% หลังตลาดประเมินโอกาสที่ FED จะขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในเดือนธันวาคมเหลือเพียง 20% จากเดิมที่มองว่ามีโอกาสถึง 70% พร้อมทั้งลดคาดการณ์ดอกเบี้ยสูงสุดในวัฏจักรนี้จาก 5.1% ลงมาอยู่ที่ 4.9%

ในวันถัดมา ด้านจีนก็มีข่าวดีเช่นเดียวกัน ทางการจีนได้ประกาศ 20 มาตรการผ่อนคลายการคุมเข้มโควิด-19 ยกตัวอย่างเช่น ลดวันกักตัวผู้สัมผัสใกล้ชิดและผู้เดินทางเข้าประเทศ จากเดิม 10 วัน เป็น 8 วัน (กักตัวกับภาครัฐ 5 วัน + กักตัวที่บ้าน 3 วัน) ผ่อนคลายกฎเกณฑ์ธุรกิจสายการบินเพื่อสนับสนุนให้การเดินทางระหว่างประเทศสะดวกมากขึ้น รวมถึงการตั้งเป้าเร่งฉีดวัคซีนให้ผู้สูงอายุ จัดเตรียมยารักษา และขยายระบบสาธารณสุขให้คลอบคลุมมากขึ้น การทยอยผ่อนกฎเกณฑ์ต่างๆ สะท้อนว่าจีนมีความตั้งใจที่จะเปิดประเทศ และเพิ่มโอกาสที่จะเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบในไตรมาส 2 ปีหน้า หลังตรุษจีนและการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) ในเดือนมีนาคม 2023

นอกจากการผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มโควิดแล้ว ทางการจีนยังได้ออกมาตรการเพื่อสนับสนุนภาคอสังหาฯ 16 มาตรการ เช่น การขยายเวลาการชำระคืนเงินกู้ ลดเงินดาวน์สำหรับผู้ซื้อบ้าน อีกทั้งขยายโครงการสนับสนุนการออกพันธบัตรสำหรับบริษัทเอกชน รวมถึงบริษัทอสังหาฯ ประมาณ 2.5 แสนล้านหยวน ทำให้หุ้นจีนรีบาวด์ขึ้นมาได้ดี โดยเฉพาะหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง (ดัชนี HSCEI) ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 7% ในวันเดียว และปรับขึ้นมาแล้วถึง 27% จากจุดต่ำสุดในช่วงปลายเดือนตุลาคม

แต่นักลงทุนก็ไม่ควรประมาท เพราะ ในโลกการลงทุนยังมีความไม่แน่นอนอยู่เสมอ โดยเฉพาะความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ และยุโรป ด้านเงินเฟ้อสหรัฐฯ บางส่วนยังคงปรับสูงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าหมวดที่ใช้แรงงานเป็นจำนวนมาก จากตลาดแรงงานที่ยังแข็งแกร่ง หนุนค่าจ้างให้ปรับเพิ่มขึ้น ด้านจีนเองก็ยังมีความเสี่ยงจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ยังมีความจำเป็นที่ต้องใช้มาตรการคุมเข้มในบางพื้นที่

ดังนั้นในแง่ของการลงทุนจึงยังต้องเน้นกระจายความเสี่ยงในหลายสินทรัพย์นอกเหนือจากหุ้นและตราสารนี้ ไปยังสินทรัพย์ทางเลือก อย่างกองทุน Hedge Fund ที่มีกลยุทธ์ซื้อ (Long) และขาย (Short) ตราสารหนี้และสกุลเงินต่างๆ โดยแสวงหาโอกาสลงทุน ผ่านการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจากทีมผู้จัดการกองทุนผู้เชี่ยวชาญ อย่างเช่นในปีนี้ ธนาคารกลางแต่ละประเทศดำเนินนโยบายการเงินที่แตกต่างกัน ทำให้สกุลเงินและบอนด์ยีลด์แต่ละประเทศเคลื่อนไหวในทิศทางและปริมาณที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน จึงเปิดโอกาสสร้างผลตอบแทนให้เป็นบวกได้ ตรงข้ามกับตลาดหุ้นและตราสารหนี้

Hedge Fund ประเภทนี้ สามารถทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง และด้วยสินทรัพย์ที่ลงทุนเป็นการเก็งกำไรในค่าเงินและตราสารหนี้ จึงมีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นต่ำมาก ทำให้ช่วยกระจายความเสี่ยงแก่พอร์ตโดยรวมได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในภาวะที่มีความไม่แน่นอนเช่นนี้


ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ


แนะนำหน้าที่เกี่ยวข้อง

Investment Advisory