-
ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของญี่ปุ่น (Core CPI) เดือนเมษายน ปรับตัวขึ้น 3.5% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี สะท้อนแรงกดดันเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง
-
แรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังคงสูงกว่าเป้าหมายอาจทำให้ BOJ เปลี่ยนเปลงนโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้น นำไปสู่การกดดันตลาดหุ้นญี่ปุ่นในระยะสั้นได้ จึงแนะนำให้พิจารณาชะลอการลงทุนในกองทุนหุ้นญี่ปุ่น
Market Update
ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของญี่ปุ่น (Core CPI) เดือนเมษายน ปรับตัวขึ้น 3.5% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จาก 3.2% ในเดือนมีนาคม สูงสุดในรอบ 2 ปี สะท้อนแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังคงร้อนแรง แม้มีการลดค่าเล่าเรียนของโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายจากภาครัฐทั่วประเทศ ซึ่งกดดันเงินเฟ้อในหมวดบริการรวมให้ลดลงจาก 1.4% เหลือ 1.3%
ด้านดัชนีราคาผู้บริโภครวมอาหารและพลังงาน (CPI) คงที่ที่ 3.6% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจากราคาข้าวที่พุ่งสูงอาจเริ่มชะลอตัวในระยะถัดไป อย่างไรก็ตาม หมวดอาหารแปรรูปและผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมอื่นๆ กลับมีการเร่งตัวขึ้น ทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อญี่ปุ่นยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง
Related Indices & Funds
- Nikkei 225 0.59%/li>
- TOPIX 0.74%
(ข้อมูลวันที่ 23 พ.ค. 2568)
Market Outlook
แม้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังประเมินว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจยังไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในในการประชุมในช่วงไตรมาสนี้ เนื่องจากความไม่แน่นอนด้านการค้า แต่ด้วยแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังคงสูงกว่าเป้าหมายต่อเนื่อง อาจทำให้ BOJ มีการเปลี่ยนเปลงนโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้น ซึ่งนำไปสู่การกดดันตลาดหุ้นญี่ปุ่นในระยะสั้นได้ โดยนักลงทุนควรจับตาผลการเจรจาการค้าระหว่างญี่ปุ่น-สหรัฐฯ ทิศทางของนโยบายการเงินหลังจากนี้ และแนวโน้มเงินเฟ้อในช่วงครึ่งหลังของปี
คำแนะนำการลงทุน
- สำหรับนักลงทุนที่ถือกองทุนหุ้นญี่ปุ่น
- หากมีสัดส่วนมากกว่า 20% แนะนำขายเพื่อลดความผันผวนของพอร์ต และนำเงินไปพักไว้ในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น K-SFPLUS
- หากมีสัดส่วนน้อยกว่า 20% แนะนำถือต่อ รอจังหวะลงทุน
- สำหรับนักลงทุนทั่วไป และผู้ที่ไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นญี่ปุ่น
- สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีสถานะในกองทุนหุ้นญี่ปุ่น แนะนำชะลอการลงทุน โดยรอดูผลการเจรจาการค้าและการประชุม BOJ ในช่วงกลางเดือน มิ.ย.
- เงินลงทุนระยะยาว เน้นถือการลงทุนแบบ Core Port อย่างกองทุนผสม K-WealthPLUS Series เช่น K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ฯลฯ ที่มีผู้จัดการกองทุนดูแลสัดส่วนเงินลงทุน ซึ่งได้ทยอยลดความเสี่ยงไปบ้างแล้ว
- แนะนำเพิ่มการลงทุนใน K-FIXEDPLUS เนื่องจากตราสารหนี้ได้ประโยชน์จากความไม่แน่นอน รวมทั้งแนวโน้มดอกเบี้ยยังลงต่อ
- สำหรับการพักเงินเพื่อรอประเมินสถานการณ์ก่อนกลับเข้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง แนะนำพักเงินใน K-SFPLUS
หมายเหตุ:
- ระดับความเสี่ยงกองทุน
- K-SFPLUS, K-FIXEDPLUS-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
- K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
- K-JPX-A, K-JP-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
- นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
- K-SFPLUS: ป้องกันความเสี่ยง 100% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-FIXEDPLUS-A: ป้องกันความเสี่ยงมากกว่า 90% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
- K-JPX-A, K-JP-A: ป้องกันความเสี่ยงบางส่วน
- ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
- K-SFPLUS: T+1
- K-FIXEDPLUS-A: T+2
- K-JPX-A: T+3
- K-JP-A: T+4
- K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: T+6