ผลการเลือกตั้งและบทบาทของรัฐสำคัญ
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2024 ได้ข้อสรุปเมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะครั้งสำคัญด้วยคะแนน 292 คะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง สูงกว่าคะแนนขั้นต่ำ 270 คะแนนที่จำเป็นสำหรับตำแหน่งประธานาธิบดี ผลการเลือกตั้งนี้ทำให้เขากลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1892 ที่มีการชนะการเลือกตั้งสองครั้งที่ไม่ต่อเนื่องกัน
รัฐสำคัญที่ทำให้ทรัมป์คว้าชัยได้สำเร็จได้แก่ Pennsylvania, Michigan, และ Wisconsin ซึ่งรัฐเหล่านี้เคยสนับสนุนพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว แต่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ได้พลิกกลับมาเป็นพรรครีพับลิกัน นโยบายเศรษฐกิจเชิงชาตินิยมของทรัมป์ที่เน้นการผลิตในประเทศและการสร้างงานในภาคการผลิตได้รับการตอบรับจากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในรัฐนี้ ซึ่งเป็นฐานเศรษฐกิจที่พึ่งพาอุตสาหกรรมหนัก
นโยบายและผลกระทบทางเศรษฐกิจ
ภายใต้การบริหารของทรัมป์ การลดภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจะเป็นนโยบายสำคัญ ทรัมป์มีแผนที่จะขยายการลดภาษีเงินได้ส่วนบุคคลที่กำลังจะหมดอายุในปี 2025 และปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 21% เป็น 15% การลดภาษีนี้จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อและกระตุ้นการลงทุนภายในประเทศ แต่นักวิเคราะห์บางคนกังวลว่ามาตรการนี้อาจเพิ่มหนี้ภาครัฐที่ปัจจุบันอยู่ที่กว่า 33 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 45% จากหนี้ในช่วงเริ่มต้นวาระแรกของทรัมป์
สำหรับอัตราการว่างงาน นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3.4-3.6% เนื่องจากนโยบายกระตุ้นการจ้างงานและการลดภาษีจะทำให้ธุรกิจขยายตัว ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นจากการกระตุ้นการใช้จ่ายและข้อจำกัดด้านอุปทาน อาจทำให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงประมาณ 4.5%
ในด้านของตลาดตราสารหนี้ ผลของการลดภาษีและการเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายภาครัฐคาดว่าจะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันอยู่ที่ 4.44% เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนเลือกตั้งที่ 4.26% การเพิ่มขึ้นนี้สะท้อนถึงความกังวลของตลาดที่อาจเกิดการขาดดุลงบประมาณสูงขึ้นหากแผนลดภาษีได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรส
การเมืองโลกและนโยบายการค้า
ทรัมป์แสดงเจตนาชัดเจนในการใช้นโยบายการค้ากับจีน โดยเขามีแผนที่จะเรียกเก็บภาษีศุลกากรใหม่ 60% กับสินค้านำเข้าจากจีน และ 10% กับสินค้านำเข้าจากประเทศอื่น ๆ ซึ่งการเรียกเก็บภาษีเหล่านี้อาจทำให้มูลค่าการค้านำเข้า-ส่งออกระหว่างประเทศลดลงถึง 25-30% จากระดับปัจจุบัน ซึ่งการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีมูลค่าราว 559 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้ว การปรับเพิ่มภาษีนี้อาจทำให้ธุรกิจที่พึ่งพาการนำเข้าสินค้าจากจีนประสบปัญหาต้นทุนที่สูงขึ้นและลดโอกาสในการแข่งขันในตลาดโลก
ในส่วนของยุโรป การตัดสินใจเชิงการค้าของทรัมป์อาจทำให้เกิดการตอบโต้ทางเศรษฐกิจจากนานาประเทศ และทำให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมของประเทศที่มีการส่งออกจำนวนมากไปยังสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน นโยบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของทรัมป์จะส่งผลให้สหรัฐฯ มีการเจรจาทางทหารกับประเทศต่าง ๆ ที่ลดลง เช่น NATO และอาจทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองในยุโรปและตะวันออกกลาง
มุมมองการลงทุนจาก K WEALTH
หลังประกาศชัยชนะของ Trump ตลาดตอบรับผ่านการแข็งค่าขึ้นของดอลลาร์สหรัฐฯ การปรับตัวขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และหุ้นในกลุ่ม Trump trade โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม mid-small cap, Financial Sector และ หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ที่ได้รับปัจจัยบวกจากนโยบาย de-regulation และ protectionism ในทางกลับกันอาจกดดันตลาดหุ้นเอเชียและ EM
ส่วนในระยะยาวยังต้องติดตามในเรื่องของนโยบายการกีดกันทางการค้าและการตั้งกำแพงภาษี ซึ่งอาจจะส่งผลกดดันต่อสภาพเศรษฐกิจและการค้าโลก จึงต้องมีการลดอัตราดอกเบี้ยรวมถึงทิศทางขาดดุลการค้าที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าและกลับมาส่งผลดีต่อตลาดหุ้นเอเชียและ EM
สำหรับนักลงทุนที่อยากอ่านมุมมองการลงทุนรายเดือนฉบับเต็มพร้อมกองทุนแนะนำในแต่กลุ่มประเภทสินทรัพย์ ติดตามได้ “K Wealth Monthly View ”