ประเด็นร้อน: เพราะอะไร? กองทุน K-AGRI ผันผวนแรงตลอด 2 เดือน

ผู้ว่าธนาคารกลางจีน (PBOC) เปิดเผยว่าธนาคารกลางจีนอาจเข้าซื้อขายพันธบัตรในตลาดรอง และอาจพิจารณาเปลี่ยนไปใช้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเพียงอัตราเดียวเพื่อเป็นแนวทางให้กับตลาด และส่งสัญญาณแนวทางนโยบายการเงินที่ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ทางการฮ่องกงร่วมกับทางการจีน

กดฟัง
หยุด

• ตั้งแต่เดือน ม.ค. ราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าโกโก้เดินหน้าปรับตัวขึ้นแรงและต่อเนื่องมาแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงปลายเดือน เม.ย. ที่ระดับ 12,261 ดอลลาร์ต่อตัน ล่าสุดปรับตัวลงมาที่ระดับประมาณ 7,729 ดอลลาร์ต่อตัน จากปัญหาสภาพอากาศในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตกซึ่งเป็นแหล่งผลิตโกโก้ราว 80% ของปริมาณผลผลิตทั่วโลก


• สถานการณ์ผลผลิตเริ่มฟื้นตัวแต่โดยรวมยังขาดแคลนเมื่อเทียบกับสถานการณ์ปกติ ซึ่งราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้รับข่าวผลผลิตขาดแคลนไปแล้ว จากนี้คาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวเข้าสู่ระดับที่สมดุล ซึ่งอาจปรับตัวลงไปพร้อมกับความผันผวนที่สูง K WEALTH มีมุมมอง Neutral ต่อการลงทุนกองทุน K-AGRI





เกิดอะไรขึ้น? กองทุน K-AGRI ผันผวนตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา (ณ วันที่ 27 มิ.ย. 67) กองทุน Invesco DB Agriculture ซึ่งเป็นกองทุนหลักของกองทุน K-AGRI ปรับตัวลงประมาณ 5.47% และเมื่อย้อนไป 1 เดือน กองทุน K-AGRI ปรับตัวลงมา 4.36% คำถามคือทำไมกองทุน K-AGRI ถึงปรับตัวลงแรงและมีความผันผวนสูง วันนี้ K WEALTH จะพาไปหาสาเหตุนี้กัน



สัญญาซื้อขายล่วงหน้า Cocoa สัดส่วนหลักของกองทุน K-AGRI

เมื่อดูกันที่ Portfolio ของกองทุนหลัก Invesco DB Agriculture (ณ วันที่ 28 มิ.ย. 67) พบว่าสินทรัพย์ 5 อันดับแรกประกอบด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า Cocoa 23.33%, Coffee 13.68%, Live Cattle 12.03%, Wheat 9.91% และ Soybeans 9.75% ซึ่งเมื่อประกอบกับข้อมูลความเคลื่อนไหวของราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าจะสรุปได้ชัดว่าความเคลื่อนไหวของทั้งกองทุนหลัก Invesco DB Agriculture และ K-AGRI ได้รับอิทธิพลจากราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าโกโก้ (Cocoa) ที่มีลักษณะความเคลื่อนไหวและความผันผวนของราคาใกล้เคียงกัน


โดยตั้งแต่เดือน ม.ค. ราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าโกโก้เดินหน้าปรับตัวขึ้นแรงและต่อเนื่องมาแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงปลายเดือน เม.ย. ที่ระดับ 12,261 ดอลลาร์ต่อตัน ก่อนจะปรับตัวลงแรงมาจนถึงเดือนกลางเดือน พ.ค. แตะระดับ 6,767 ดอลลาร์ต่อตัน จากนั้นปรับตัวขึ้นอีกครั้งและล่าสุดปรับตัวลงมาที่ระดับประมาณ 7,729 ดอลลาร์ต่อตัน



ทำไมราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้า Cocoa ถึงปรับตัวขึ้นแรงแล้วตามมาด้วยความผันผวน

ราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าโกโก้ปรับตัวขึ้นจากปัญหาสภาพอากาศในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตกซึ่งเป็นแหล่งผลิตโกโก้ราว 80% ของปริมาณผลผลิตทั่วโลก โดย International Cocoa Organization คาดว่าปริมาณผลผลิตในฤดูกาลเพาะปลูก 2023-2024 จะลดลง 11% ราคาที่ปรับตัวขึ้นดึงดูดนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหนุนราคาปรับตัวขึ้นสูงต่อเนื่องเพาะปลูก 2023-2024 จะลดลง 11% ราคาที่ปรับตัวขึ้นดึงดูดนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหนุนราคาปรับตัวขึ้นสูงต่อเนื่อง


แต่ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ปรากฏการณ์เอลนีโญที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตโกโก้ในแอฟริกาตะวันตกได้อ่อนกำลังลง และเริ่มเข้าสู่ช่วงปรากฏการณ์ลานีญาซึ่งจะส่งผลให้มีปริมาณน้ำฝนมากขึ้นและปริมาณผลผลิตโกโก้กลับมาฟื้นตัว ราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่เคยปรับตัวขึ้นด้วยสาเหตุผลผลิตโกโก้ขาดแคลนจึงปรับตัวลง ขณะเดียวกันนักลงทุนที่เข้ามาเก็งกำไรก่อนหน้านี้ได้ปิดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาปรับตัวลงและเกิดความผันผวน



มุมมองการลงทุน

นักวิเคราะห์มองว่าแม้สถานการณ์ผลผลิตจะเริ่มฟื้นตัวแต่โดยรวมยังขาดแคลนเมื่อเทียบกับสถานการณ์ปกติ ซึ่งราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้ปรับตัวขึ้นสูงรับข่าวผลผลิตขาดแคลนไปแล้ว โดยต่อจากนี้คาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวเข้าสู่ระดับที่สมดุล ซึ่งอาจปรับตัวลงไปพร้อมกับความผันผวนที่สูง จากปัจจัยดังกล่าวทำให้ K WEALTH มีมุมมอง Neutral ต่อการลงทุนกองทุน K-AGRI



คำแนะนำการลงทุนกองทุน K-AGRI

o นักลงทุนที่ยังไม่มีการลงทุนในกองทุน K-AGRI แนะนำลงทุนในกองทุนแนะนำอื่น o นักลงทุนที่มีการลงทุนในกองทุน K-AGRI และมีสัดส่วนมากกว่า 30% ของเงินลงทุนทั้งหมด แนะนำให้ทยอยขายบางส่วนเพื่อลดสัดส่วนให้ต่ำกว่า 30% ของเงินลงทุนทั้งหมด และลงทุนในกองทุนแนะนำอื่น



สำหรับกองทุนแนะนำอื่น มีดังนี้

• ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-EUROPE-A(D) คว้าโอกาสหุ้นเติบโตในยุโรปทุกกลุ่ม ด้วยการคัดเลือกหุ้นแบบ Bottom-up หรือ K-EUSMALL ที่เน้นลงทุนในหุ้นขนาดเล็กของยุโรป เพื่อรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GHEALTH ลงทุนในบริษัท Healthcare ครอบคลุมทั้งกลุ่ม Defensive เช่น Pharmaceutical, Healthcare Services และกลุ่ม Growth เช่น Medtech, Biotechnology

o แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-VIETNAM ลงทุนหุ้นเวียดนามที่รับประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจ เช่น บริโภคภายใน การเงิน อุตสาหกรรม


• สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลต่อความผันผวนของตลาดหุ้น

o หากไม่สามารถรับความเสี่ยงการลงทุนต่างประเทศได้ แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-FIXED-A ถือลงทุนอย่างน้อย 1 ปี

o ชอบกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศบางส่วน แนะนำพิจารณาลงทุน K-FIXEDPLUS แนะนำถือลงทุนอย่างน้อย 1 ปี


• สำหรับผู้ที่ยังกังวลกับความผันผวนของตลาดหุ้น และไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ แนะนำพักเงินในกองทุน K-SF-A ซึ่งเหมาะกับการลงทุน 1-3 เดือน เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้ง หรือกองทุน K-SFPLUS เหมาะกับการลงทุน 3-6 เดือน


ขอขอบคุณข้อมูลจาก JPMorgan, Financial Times

Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”


คำเตือน


ผู้เขียน

K WEALTH Trainer
Back to top