3 ปีที่ผ่านมาเป็น 3 ปีที่ค่อนข้างหนักหน่วงสำหรับตลาดหุ้นจีน โดยตั้งแต่ปี 2021-2023 ตลาดหุ้นจีนติดลบมาต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในรอบ 32 ปี ดัชนีสำคัญๆของตลาดหุ้นจีน MSCI China ตัวแทนตลาดหุ้นจีนโดยรวมติดลบ 48 % , ดัชนี FTSE A 50 ตัวแทนตลาดหุ้นจีนในประเทศติดลบ 35 % , Hang Seng ตัวแทนตลาดหุ้นจีนที่ลิสต์ในฮ่องกงติดลบ 38 % โดยถ้าดูรายอุตสาหกรรมที่ติดลบหนักๆ 3 อันดับแรกจะมี 1. Real estate 2. Consumer discretionary 3. Information Technology
นโยบายควบคุมจากภาครัฐ ตัวการหลักกดดันตลาดหุ้นจีน
• นโยบาย Three red line กระทบการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยรัฐบาลเริ่มเข้ามาควบคุมในปี 2020 ออกกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับสัดส่วนของหนี้สินอย่างหนี้สินต่อทรัพย์สินต้องต่ำกว่า 70 % หากไม่เข้าเกณฑ์จะทำให้ขอเงินกู้หรือทำการลงทุนยากขึ้น ผลที่ตามมา คือ บริษัทที่ฐานะทางการเงินไม่แข็งแกร่ง เช่น Evergrande เกิดปัญหาทางการเงินและล้มละลายในปี 2021 กระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นวงกว้าง ซึ่งภาคอสังหาริมทรัพย์มีน้ำหนักถึง 1/3 ของ GDP เกิดการชะลอตัวลงอย่างชัดเจน
• นโยบาย Three red line กระทบการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยรัฐบาลเริ่มเข้ามาควบคุมในปี 2020 ออกกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับสัดส่วนของหนี้สินอย่างหนี้สินต่อทรัพย์สินต้องต่ำกว่า 70 % หากไม่เข้าเกณฑ์จะทำให้ขอเงินกู้หรือทำการลงทุนยากขึ้น ผลที่ตามมา คือ บริษัทที่ฐานะทางการเงินไม่แข็งแกร่ง เช่น Evergrande เกิดปัญหาทางการเงินและล้มละลายในปี 2021 กระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นวงกว้าง ซึ่งภาคอสังหาริมทรัพย์มีน้ำหนักถึง 1/3 ของ GDP เกิดการชะลอตัวลงอย่างชัดเจน
o นโยบายต่อต้านการผูกขาดทางการค้าทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีในจีนโดนค่าปรับกันถ้วนหน้าไม่ว่าจะเป็น Alibaba โดนปรับ 2.77 Billion usd หรือ meituan 533 million usd แต่การโดนปรับไม่เท่ากับการเสียความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีให้กับบริษัทเหล่านี้โดยในปี 2021 กลุ่ม Communication services ในจีนปรับตัวลงมา 37 %
o กฎเกณท์ในธุรกิจการศึกษานอกเวลา ห้ามมิให้มีการให้คำปรึกษาเพื่อผลกำไรสำหรับวิชาหลักของโรงเรียน บริษัท ที่สอนหลักสูตรระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาควรได้รับการจดทะเบียนเป็น องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ทำให้หุ้นบริษัทติวเตอร์ยักษ์ใหญ่ Tal education มีมูลค่าลดลง กว่า 90 % ในเพียงไม่กี่สัปดาห์
• นโยบาย Zero Covid policy ที่ยึดเยื้อมาอย่างยาวนานตั้งแต่เริ่มมีโควิดจนมายกเลิกในช่วงต้นปี 2023 ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างชัดเจน การ lockdown ในหลายๆเมืองหลัก เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจทำให้ GDP เติบโตลดลง โดยภาคส่วนที่ชะลอตัวลงหนักที่สุด คือ ภาคการบริโภค
ปัจจุบันสถานการณ์ต่างๆ ค่อยคลี่คลายในทางที่ดีขึ้น
• นโยบาย Zero covid policy รัฐบาลจีนยกเลิกในช่วงต้นปี 2023 ทำให้เศรษฐกิจเริ่มเคลื่อนไหวกลับมาฟื้นตัว
• การออกกฏเกณฑ์ในธุรกิจภาคเอกชน เราเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นเรื่อยๆ โดยทางรัฐบาลเริ่มมีนโยบายที่ผ่อนคลายขึ้น เช่น การประชุม Politburo ในเดือนเมษายน 2022 ระบุว่า จะสนับสนุนการพัฒนาแบบแพลตฟอร์มเศรษฐกิจ รวมถึงบริษัทอินเทอร์เน็ตในกลุ่มโซเชียลมีเดีย ไปจนถึงอี-คอมเมิร์ซ
• ด้านอสังหาริมทรัพย์ ทาง PBOC ได้ออกนโยบาย 16 ข้อ เพื่อมาฟื้นฟูและกอบกู้ภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยนโยบายหลักๆจะเกี่ยวกับการผ่อนคลายการให้สินเชื่อกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รวมถึงการกระตุ้นยอดขายบ้านผ่านนโยบายการลดเงินดาวน์และลดอัตราดอกเบี้ยการกู้ยืมเพื่อที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะมีนโยบายกระตุ้นออกมาเป็นระยะแต่ปัญหาอสังหาริมทรัพย์ไม่น่าจะจบลงง่ายๆเพราะต้องใช้เวลาในการเรียกความเชื่อมั่นจากทั้งผู้บริโภคและบริษัทอสังหาริมทรัพย์ โดยทาง Goldman sachs วานิชนกิจระกับโลกมองว่าภาคอสังหาริมทรัพย์จะเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจจีนไปอีกอย่างน้อย 3-4 ปี
สรุปมุมมองตลาดหุ้นจีน
เรายังมีมุมมองเป็นกลางต่อตลาดหุ้นจีน
ปัจจัยด้านบวก
• รัฐบาลมีกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการต่างๆอย่างต่อเนื่องในปีนี้ โดยปรับเป้าการขาดดุลการคลังขึ้นเป็น 3.8 % จาก 3 % ในปีที่ผ่านมา และนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายยิ่งเป็นการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ
• ระดับของหุ้นจีนอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี ทำให้โอกาสการปรับตัวลงของราคาหุ้นจากระดับปัจจุบันมีค่อนข้างน้อย
ปัจจัยด้านลบ
• ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังถูกกดดัน สะท้อนจากการล้มละลายของ “จงจื่อ เอนเตอร์ไพรส์ กรุ๊ป” (Zhongzhi Enterprise Group) บริษัทบริหารจัดการกองทรัสต์ (Shadow Banking) หรือ “ธนาคารเงา” รายใหญ่ในประเทศจีนที่อาจจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
• ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาตร์ที่มีการกีดกั้นด้านการค้าและเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐที่ยังมีออกมาเป็นระยะๆ
คำแนะนำสำหรับลูกค้าที่ถือการลงทุนกองทุนหุ้นจีน
• หากมีสัดส่วนเกิน 30% ของเงินลงทุน แนะนำรอจังหวะกองทุนปรับตัวขึ้น เพื่อทยอยขายบางส่วน ให้เหลือไม่เกิน 30% โดยนำเงินค่าขายไปลงทุนในกองทุนที่ทาง K WEALTH แนะนำ เช่น K-HIT , K-CHANGE , K-JPX-A(A) เพื่อให้ผลตอบแทนมีโอกาสทำกำไรกลับมาชดเชยส่วนที่ขาดทุนไป
• หากมีสัดส่วนไม่เกิน 30% ของเงินลงทุน แนะนำถือลงทุนต่อ เมื่อสถานการณ์ดีขึ้นให้ทยอยซื้อเพื่อถัวเฉลี่ยต้นทุน