สรุปครบที่นี่ เหล่าภาษีของนักลงทุน

อัปเดตภาษีที่เกี่ยวข้องกับนักลงทุนและวิธีจัดการภาษีไว้ที่นี่

• กระทรวงการคลังยืนยันจะไม่เก็บภาษีขายหุ้น และภาษีกำไรจากการขายหุ้น ส่วนภาษีรายได้จากต่างประเทศจะเริ่มเก็บตั้งแต่ปี 67 เป็นต้นไป


• กองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ ETF, DR และ DRx เป็นทางเลือกการลงทุนต่างประเทศ สำหรับนักลงทุนที่ไม่ต้องการนำรายได้จากต่างประเทศมารวมยื่นภาษี




ในช่วงที่ผ่านมา หากใครได้ติดตามข่าวสารจะเห็นว่ามีข่าวคราวเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีจากการลงทุนเกิดขึ้น ทั้งภาษีขายหุ้น ภาษีรายได้จากต่างประเทศ และเป็นที่พูดถึงกันอย่างมากในบรรดากลุ่มนักลงทุน นักลงทุนหลายคนคงอยากทราบว่าสรุปแล้วจะเก็บภาษีจริงไหม แล้วจะเริ่มเก็บภาษีเมื่อไหร่ จึงขอรวบรวมภาษีที่เกี่ยวข้องกับนักลงทุนมาอัปเดตให้ฟังกันเพื่อจะได้เตรียมพร้อมรับมือไว้ล่วงหน้า



ภาษีหัก ณ ที่จ่าย

ขอเริ่มจากภาษีหัก ณ ที่จ่าย ซึ่งเป็นภาษีที่จะถูกหักเอาไว้จากผลตอบแทนที่ได้รับจากการออมและลงทุน โดยขอแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่


1. ดอกเบี้ย จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% เช่น

• การฝากเงินในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ได้รับดอกเบี้ยเกิน 20,000 บาท

• การฝากเงินในบัญชีเงินฝากประจำ

• การลงทุนในหุ้นกู้


2. เงินปันผล จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% เช่น

• การลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล

• การลงทุนในหุ้น



คำแนะนำ

สำหรับคนที่มีรายได้จากดอกเบี้ยหรือเงินปันผล อยากให้พิจารณาดูก่อนว่าภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายไปแล้วนั้นควรนำมารวมคำนวณภาษีด้วยไหมตอนที่ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยให้ดูจากฐานภาษีของตัวเอง ถ้าฐานภาษีของเราสูงกว่า 10%-15% ก็ไม่ต้องนำมารวมยื่น ให้หักจบ ณ ที่จ่ายไป แต่ถ้าฐานภาษีของเราไม่เกิน 10%-15% ค่อยนำมารวมคิดเป็นรายได้เพื่อขอคืนภาษี


ส่วนคนที่หวังผลตอบแทนระหว่างทาง แต่ไม่อยากถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย หากลงทุนในกองทุนรวม ลองดูกองทุนชนิดรับซื้อคืนอัตโนมัติ (Auto Redemption) เนื่องจากผลตอบแทนที่ได้รับจะไม่เสียภาษี



ภาษีขายหุ้น

ช่วงปลายปี 65 มีข่าวว่ากระทรวงการคลังจะประกาศเก็บภาษีขายหุ้นในอัตรา 0.10% และเมื่อรวมภาษีท้องถิ่นอีก 0.01% เป็น 0.11% โดยในปีแรกจะเก็บภาษีก่อนในอัตรา 0.055% หรือล้านละ 550 บาท ล่าสุดทางกระทรวงการคลังยืนยันแล้วว่าจะไม่เก็บภาษีเกี่ยวกับธุรกรรมในการขายหุ้น และภาษีกำไรจากการขายหุ้นแต่อย่างใด เนื่องจากอยากเห็นตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องสูง มีเสถียรภาพ มีการซื้อขายทั้งปริมาณและคุณภาพ และดึงดูดนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนหรือเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วย


คำแนะนำ

นักลงทุนไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ สามารถลงทุนในหุ้นหรือทำธุรกรรมซื้อขายหุ้นได้อย่างสบายใจ เพราะจะไม่ถูกเก็บภาษีขายหุ้น และภาษีกำไรจากการขายหุ้น



ภาษีรายได้จากต่างประเทศ

สำหรับข่าวการเก็บภาษีรายได้จากต่างประเทศช่วงกลางเดือน ก.ย. 66 ที่ผ่านมา ถือเป็นข่าวการเก็บภาษีล่าสุดซึ่งนักลงทุนที่มีการลงทุนตรงในต่างประเทศให้ความสนใจ โดยตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 67 เป็นต้นไป ผู้ที่มีรายได้จากแหล่งเงินได้ต่างประเทศในปีภาษีที่อยู่ในไทยรวมกันตั้งแต่ 180 วันขึ้นไป และได้นำรายได้จากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีนั้นหรือปีภาษีต่อๆ มา มีหน้าที่ต้องนำรายได้มารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีในปีภาษีที่นำรายได้เข้ามาในประเทศไทย ซึ่งเรื่องนี้จะกระทบกับนักลงทุนที่ได้รับเงินปันผลหรือมีกำไรส่วนต่างจากการลงทุนในหุ้นต่างประเทศโดยตรง


คำแนะนำ

นักลงทุนรอติดตามรายละเอียดหรือความชัดเจนในเรื่องนี้เพิ่มเติมจากทางกรมสรรพากรอีกครั้ง


ส่วนคนที่ต้องการลงทุนต่างประเทศมีทางเลือกการลงทุนที่ไม่ต้องนำรายได้มารวมยื่นภาษี อย่างกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ เช่น กองทุน K-VIETNAM, K-GHEALTH, K-HIT กองทุนรวมดัชนี ETF (Exchange Traded Fund) หรือตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ DR (Depositary Receipt) และ DRx (Fractional Depositary Receipt)



ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นภาษีที่เรียกเก็บจากเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือผู้ครอบครองหรือทำประโยชน์ในที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง หากเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. ของปีไหน จะมีหน้าที่เสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในปีนั้น โดยที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแต่ละประเภทจะเสียภาษีแตกต่างกันตามลักษณะการใช้ประโยชน์ดังนี้


1. ที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม จะเสียภาษีในอัตรา 0.01-0.1%

2. ที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย จะเสียภาษีในอัตรา 0.02-0.1%

3. ที่ดินเพื่อพาณิชยกรรม จะเสียภาษีในอัตรา 0.3-0.7%

4. ที่ดินรกร้างว่างเปล่า จะเสียภาษีในอัตรา 0.3-0.7%


โดยในปี 66 กระทรวงมหาดไทยประกาศเลื่อนเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างออกไปอีก 2 เดือน จากเดิมที่ต้องชำระภาษีภายในวันที่ 30 เม.ย. 66 โดยให้เลื่อนออกไปถึงวันที่ 30 มิ.ย. 66 และยังประกาศลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลง 15% จากภาษีที่คำนวณได้ เพื่อช่วยลดภาระและบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน และเป็นการสนับสนุนให้เกิดการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง


คำแนะนำ

นักลงทุนติดตามว่าปีหน้าจะมีการเลื่อนเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างหรือลดภาษีให้หรือไม่


สำหรับคนที่มีบ้านหลายหลัง แนะนำให้เอาชื่อเข้าทะเบียนบ้านที่มีราคาสูงที่สุดภายในปีนี้ก่อน เพื่อช่วยลดภาระภาษีที่ดินในปีหน้าเนื่องจาก 1 คนสามารถมีชื่อในทะเบียนบ้านได้เพียง 1 ฉบับเท่านั้น


ส่วนคนที่มีที่ดินเปล่า สามารถแบ่งแปลงที่ดินให้เล็กลง เพื่อให้ราคาประเมินถูกลงและเสียภาษีน้อยลง หรือใช้ประโยชน์จากที่ดินเปล่านั้นโดยเปลี่ยนเป็นที่ดินเกษตรกรรมด้วยการปลูกผัก ผลไม้ เลี้ยงสัตว์ให้ได้อัตราขั้นต่ำตามที่กำหนดไว้ หรือเปลี่ยนเป็นที่ดินเพื่ออยู่อาศัยด้วยการสร้างบ้านบนที่ดินผืนนั้นจะช่วยลดภาระภาษีที่ดินลง



ภาษีมรดก

เมื่อลงทุนสะสมความมั่งคั่งมาพอสมควรแล้วก็ควรวางแผนส่งต่อทรัพย์สินหรือมรดกไปยังลูกหลาน ซึ่งภาษีมรดกจะเก็บจากผู้รับที่ได้รับมรดกจากเจ้ามรดกแต่ละรายสะสมรวมกันเกิน 100 ล้านบาท โดยจะเสียภาษีมรดกในอัตราดังนี้


- บุพการี และ ผู้สืบสันดาน ส่วนเกิน 100 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 5%

- บุคคลทั่วไป รวมถึงบุตรบุญธรรม ส่วนเกิน 100 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 10%


คำแนะนำ

เพื่อลดภาระภาษีตอนส่งต่อมรดก อยากให้ลองคำนวณดูก่อนว่ายอดทรัพย์สินที่จะส่งต่อให้ผู้รับแต่ละรายนั้นเกิน 100 ล้านบาทหรือไม่


หากเกิน 100 ล้านบาท ให้ใช้วิธีทยอยให้ทรัพย์สินกับลูกหลานก่อนปีละ 20 ล้านบาท ก็จะไม่เสียภาษีการให้ หรือจะใช้ประกันชีวิตช่วยส่งต่อมรดก ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่เสียภาษีมรดกเช่นกัน โดยส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท แนะนำให้ส่งต่อผ่านประกันชีวิต อย่างประกันชีวิต พรีเมียร์ เลกาซี่ 99/5, 99/10, 99/99 ที่ตอบโจทย์เรื่องความคุ้มครองชีวิตสูง เป็นการสร้างมรดกก้อนโตได้แบบทันใจ โดยใช้เงินก้อนเล็ก


แม้ว่าการออมและการลงทุนจะมีเรื่องของภาษีเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่นักลงทุนก็สามารถวางแผนจัดการภาษีแต่ละประเภทได้ เพื่อให้ยังคงได้รับผลตอบแทนตามที่ต้องการและสามารถรักษาความมั่งคั่งเอาไว้ได้


Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”


ขอขอบคุณข้อมูลจาก :

• บลจ.กสิกรไทย, เมืองไทยประกันชีวิต, กรมสรรพากร


คำเตือน


ผู้เขียน

K WEALTH Trainer สุวิมล ยิ่งเจริญรุ่งโรจน์ CFP®
Back to top