อัปเดตข่าว/สถานการณ์
สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก Fitch Rating ปรับลด Credit Rating ระยะยาวของสหรัฐฯ จาก AAA มาที่ AA+ โดยมีเหตุจากภาวะถดถอยทางการคลังที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า รวมถึงปัญหาภาระหนี้ภาครัฐที่เพิ่มสูงขึ้น
การปรับลด Credit Rating ครั้งนี้มีขึ้นหลังสภาคองเกรสผ่านร่างขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ ได้ก่อนเส้นตายเพียงเล็กน้อย เมื่อเดือน มิ.ย. หลังการเจรจายืดเยื้อหลายเดือน ด้านรัฐมนตรีการคลังสหรัฐฯ นางเจเน็ต เยลเลน แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับการปรับลด Credit Rating สหรัฐฯ ครั้งนี้ โดยระบุในแถลงการณ์ว่า “เป็นการกระทำโดยลำพังและอยู่บนพื้นฐานข้อมูลเก่า”
ผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้ว
ประเด็นดังกล่าวส่งให้ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงในวันที่ 2 ส.ค. ที่ผ่านมา นำโดยดัชนี Nikkei 225 ปิดตลาด -2.30% ดัชนี Hang Seng ปรับตัวลง -2.48% ดัชนี Sensex ปิดตลาด -1.02% ดัชนี CSI300 ปรับตัวลง -0.70% และดัชนี SET ปรับตัวลง -0.37%
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ รับข่าวดังกล่าวเช่นกัน ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดคืนวันที่ 2 ส.ค. ปรับตัวลง -1.38% ส่วนดัชนี Nasdaq ปรับตัวลง -2.17% และดัชนี Dow Jones ปิดตลาด -0.98% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 4.1%
มุมมองการลงทุนต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง หนุนด้วยตลาดแรงงานที่ร้อนแรง ขณะที่เงินเฟ้อกำลังปรับลดลง ด้านผลประกอบการไตรมาส 2 ที่เปิดเผยออกมาแล้วพบว่ามากกว่า 80% มีผลประกอบการดีกว่าคาด แม้จะไม่ได้เติบโตแต่ก็ไม่ได้บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อ่อนแอลงอย่างมีนัยยะ
ส่วนการปรับลด Credit Rating ของ Fitch Rating ครั้งนี้มีความแตกต่างจากเมื่อครั้งที่ S&P ปรับลด Credit Rating เมื่อปี 2011 โดยการปรับลดครั้งนี้มีเหตุผลจากการขยายเพดานหนี้ซึ่งเกิดขึ้นไปแล้วเมื่อครึ่งแรกของปี ดังนั้นจึงอาจกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในแง่ sentiment แต่ไม่ได้กระทบพื้นฐานโดยรวม
อย่างไรก็ตามระดับ Valuation ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นสูงกว่าระดับค่าเฉลี่ยทั้งดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ซึ่งนำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่รับกระแส AI ในทางกลับกันยังมีกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีระดับมูลค่าน่าสนใจ เช่น Health Care ซึ่งมีรายได้และกำไรสม่ำเสมอและ Online Platform ที่เริ่มฟื้นตัวอีกครั้งในปีนี้
มุมมองการลงทุนตราสารหนี้
ยังคงมีมุมมอง Positive ต่อทั้งตราสารหนี้โลกและตราสารหนี้ไทย โดยมองว่าสามารถกระจายความเสี่ยงการลงทุนได้ทั้งตราสารหนี้สหรัฐฯ และไทย แม้ธนาคารกลางทั่วโลกมีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยระดับสูงไว้นานกว่าที่คาด แต่การลงทุนตราสารหนี้ยังมีความน่าสนใจจากอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ที่สูงตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นมา
ส่วนการปรับลด Credit Rating ของ Fitch Rating มีผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้จำกัด ตลาดไม่ได้กังวลต่อการผิดชำระหนี้เพิ่มเติมจากการปรับลดในครั้งนี้ โดยการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ มาจากความกังวลอุปทานพันธบัตรสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นจาก 7.3 แสนล้านดอลลาร์ เป็น 1 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นจึงเป็นโอกาสเข้าลงทุนที่น่าสนใจ
คำแนะนำการลงทุน
• ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ แต่มีความระมัดระวังทั้งความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก ทิศทางอัตราดอกเบี้ย และระดับ Valuation ที่สูงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-GHEALTH
• ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ และต้องการลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนและรับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-PLAN2 และ K-PLAN3
• สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลต่อความผันผวนของตลาดหุ้น และชอบกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศบางส่วน แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-PLAN1 ถือลงทุนอย่างน้อย 9-12 เดือน หรือ K-FIXEDPLUS แนะนำถือลงทุนอย่างน้อย 1 ปี ส่วนกองทุนที่มีนโยบายเน้นลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ Investment Grade แนะนำลงทุนกองทุน K-GB ถือลงทุนอย่างน้อย 3-5 ปี
• สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลต่อความผันผวนของตลาดหุ้น และไม่สามารถรับความเสี่ยงการลงทุนต่างประเทศได้ แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-CBOND ถือลงทุนอย่างน้อย 9-12 เดือน หรือ K-FIXED ถือลงทุนอย่างน้อย 1 ปี
• สำหรับผู้ที่ยังกังวลกับความผันผวนของตลาดหุ้น และไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ แนะนำพักเงินในกองทุน K-SF ซึ่งเหมาะกับการลงทุน 1-3 เดือน เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้ง หรือกองทุน K-SFPLUS เหมาะกับการลงทุน 3-6 เดือน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก KAsset
Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”