ประเด็นร้อน: ตามคาด FED คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น

ประชุม FOMC มีมติเป็นเอกฉันท์ ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น แต่คาดยังมีโอกาสขึ้นเพิ่มอีก 2 ครั้งเพื่อสู้เงินเฟ้อในช่วงครึ่งปีหลัง

• Fed มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.00-5.25% ตามที่ตลาดคาดการณ์ หลังจากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 10 ครั้งติดต่อกันนับตั้งแต่เริ่มวัฏจักรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน มี.ค. 2565


• คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเจ้าหน้าที่ Fed (Dot Plot) อัตราดอกเบี้ยจะแตะระดับ 5.6% ภายในสิ้นปีนี้ บ่งชี้ว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% อีก 2 ครั้งหลังการประชุมครั้งนี้ นอกจากนี้ คาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะแตะระดับ 4.6% ในช่วงสิ้นปี 2567 และแตะระดับ 3.4% ในช่วงสิ้นปี 2568 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยระยะยาวอยู่ที่ 2.5%




อัปเดตข่าว/สถานการณ์


Fed มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.00-5.25% ตามที่ตลาดคาดการณ์ หลังจากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 10 ครั้งติดต่อกันนับตั้งแต่เริ่มวัฏจักรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน มี.ค. 2565


คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเจ้าหน้าที่ Fed (Dot Plot) อัตราดอกเบี้ยจะแตะระดับ 5.6% ภายในสิ้นปีนี้ บ่งชี้ว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% อีก 2 ครั้งหลังการประชุมครั้งนี้ นอกจากนี้ คาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะแตะระดับ 4.6% ในช่วงสิ้นปี 2567 และแตะระดับ 3.4% ในช่วงสิ้นปี 2568 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยระยะยาวอยู่ที่ 2.5%


ด้านตัวเลขเศรษฐกิจ Fed มีคาดการณ์ดังนี้


• ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP โดยคาดจะมีการขยายตัวสู่ระดับ 1.0% ในปีนี้ แต่ปรับลดตัวเลขคาดการณ์ในปี 2567 และ 2568 สู่ระดับ 1.1% และ 1.8% ตามลำดับ ขณะที่อัตราการขยายตัวในระยะยาวอยู่ที่ระดับ 1.8%


• ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อสู่ระดับ 3.9% ในปีนี้ และอยู่ที่ 2.6% และ 2.2% ในปี 2567 และ 2568 ตามลำดับ


• ปรับลดคาดการณ์อัตราว่างงานสู่ระดับ 4.1% ในปีนี้ และอยู่ที่ 4.5% ทั้งในปี 2567 และ 2568 ขณะที่อัตราว่างงานระยะยาวอยู่ที่ 4.0%



ผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้ว


ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนหลังทราบผลการประชุมครั้งนี้ โดยรับแรงกดดันจาก Dot Plot ที่สะท้อนว่าอาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้อีก 2 ครั้ง โดยดัชนี S&P 500 ปิดตลาดในแดนบวกเล็กน้อยที่ 0.08% ดัชนี Dow Jones ปิดตลาด -0.68% และดัชนี Nasdaq ยังปิดตลาดในแดนบวกที่ 0.39%


ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นรับมุมมองโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจาก Dot Plot มาที่ระดับ 3.838% เช่นเดียวกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 2 ปี ซึ่งปรับตัวขึ้นมาที่ 4.787%



มุมมองการลงทุนโดยรวม


- การตัดสินใจคงดอกเบี้ยไว้ที่ 5.00-5.25% ของ Fed ในครั้งนี้ เนื่องจาก Fed ต้องการดูผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ย ที่ขึ้นมาแล้ว 5% ภายใน 1 ปี และเป็นการ “คงดอกเบี้ย” เพื่อประเมินความเสี่ยงของการขึ้นดอกเบี้ยต่อระบบเศรษฐกิจ ก่อนที่จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ภายในปี 2566 (หากคาดการณ์โดยอ้างอิงจาก Dot Plot)


- ท่าทีของ Fed สอดคล้องกับการประเมินของ KAsset ที่มองว่า เงินเฟ้อถึงแม้ว่าจะปรับตัวลง แต่ยังคงอยู่ในระดับที่สูง และเป็นไปในทิศทางที่เราเคยประเมินว่า Fed อาจจะไม่รีบร้อนในการลดดอกเบี้ย และธีมการลงทุน Higher For Longer ยังคงมีความสำคัญในการจัดพอร์ต



มุมมองการลงทุนตราสารทุน


- KAsset มองว่าการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ยังคงต้องใช้ความระมัดระวัง หากพิจารณาอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง Real Yield จะเห็นว่าสูงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2551 Fed ปรับดอกเบี้ยขึ้นมาอยู่ในระดับ Restrictive Zone ซึ่งเป็นระดับอัตราดอกเบี้ยที่มากกว่าเงินเฟ้อแล้ว และยังมีแนวโน้มที่จะขึ้นดอกเบี้ยต่อ ทำให้ตลาดยังคงรอดูว่าการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อเศรษฐกิจ KAsset มองว่าความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจถดถอยยังคงมีอยู่ และควรจับตาดูในส่วนของเศรษฐกิจที่เปราะบาง เช่น ภาคการเงิน หรือภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ



คำแนะนำการลงทุน


ผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ และต้องการลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนและรับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-PLAN2 และ K-PLAN3


สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลต่อความผันผวนของตลาดหุ้น และชอบกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศบางส่วน แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-PLAN1 ถือลงทุนอย่างน้อย 9-12 เดือน หรือ K-FIXEDPLUS แนะนำถือลงทุนอย่างน้อย 1 ปี


สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลต่อความผันผวนของตลาดหุ้น และไม่สามารถรับความเสี่ยงการลงทุนต่างประเทศได้ แนะนำพิจารณาลงทุนกองทุน K-CBOND ถือลงทุนอย่างน้อย 9-12 เดือน หรือ K-FIXED ถือลงทุนอย่างน้อย 1 ปี


สำหรับผู้ที่ยังกังวลกับความผันผวนของตลาดหุ้น และไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ แนะนำพักเงินในกองทุน K-SF ซึ่งเหมาะกับการลงทุน 1-3 เดือน เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้ง หรือกองทุน K-SFPLUS เหมาะกับการลงทุน 3-6 เดือน


สำหรับนักลงทุนที่ถือครองกองทุนหุ้นสหรัฐฯ นักลงทุนควรจับตามองกำไรของไตรมาส 2 ที่กำลังจะประกาศออกมา โดยเฉพาะภาคธนาคาร หากกำไรของบริษัทสหรัฐฯ ยังคงมีความแข็งแกร่ง ยืดหยุ่น และมีพัฒนาการที่ดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า รวมถึงให้ Guidance ที่ดีขึ้นต่อเนื่อง เรามองว่าควรใช้จังหวะที่ตลาดปรับฐาน จนทำให้ Valuation น่าสนใจ เข้าซื้อสะสม


ขอขอบคุณข้อมูลจาก: KAsset

Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”



คำเตือน


ผู้เขียน

K WEALTH TRAINER
Back to top