-
ปี 2025 ถือว่าเป็นปีที่ตลาดหุ้นเดินทางท่ามกลางความไม่แน่นอนของการลดดอกเบี้ยในสหรัฐฯ แต่พอร์ตการลงทุนของ K-WealthPLUS Series ที่ปรับพอร์ตทันต่อสถานการณ์และกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ยังคงสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง
-
คุณรู้หรือไม่ว่า...ผลตอบแทนที่บวกต่อเนื่องหลายเดือนนั้น เบี้องหลังไม่ได้มาแบบสวยหรู แต่ได้ผ่านการตัดสินใจปรับพอร์ตโดยผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ถึงมาได้อย่างทุกวันนี้ ส่งผลให้นักลงทุนคลายกังวลมากขึ้นในวันที่ความผันผวนนั้นกลับมาอีกครั้ง
ผลตอบแทนกองทุน K-WealthPLUS Series โดนกดดันระยะสั้น...แต่เริ่มกลับมาแล้วนะ
ในเดือน พฤศจิกายน 2025 ตลาดหุ้นโลก รวมถึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงในระยะสั้นจากความกังวลด้าน valuation ที่ค่อนข้างตึงตัว โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม Big Tech และ AI หลังจากราคาปรับขึ้นมาแล้วก่อนหน้านี้ รวมถึงตลาดเริ่มกลับมาทบทวนความหวังการลดดอกเบี้ยของ Fed ก่อนการประชุมในต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามหลังจาก Fed ประกาศลดดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 11 ธันวาคม Bond Yield มีการปรับตัวลงบ้างในระยะสั้น ส่งผลให้ตลาดหุ้นคลายความกังวล โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นอีกครั้ง ทำให้ผลการดำเนินงานของกองทุน K-WealthPLUS Series ตั้งแต่ต้นปี 2025 ยังคงเป็นบวก (ข้อมูลวันที่ 8 ธ.ค. 2025)
K-WPBALANCED +4.7%
K-WPSPEEDUP +6.2%
K-WPULTIMATE +8.0%
เส้นทางการลงทุนที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ...แต่หากอยากอยู่รอดในตลาด พอร์ตต้องพร้อมเสมอ
คุณรู้หรือไม่ว่า...เส้นทางการลงทุนที่ดูหลังเกมส์นั้นเห็นผลตอบแทนบวกต่อเนื่องหลายเดือน เบื้องหลังคือการตัดสินใจปรับพอร์ตให้ทันต่อสถานการณ์ นั่นคือหนึ่งในกุญแจที่สำคัญที่ช่วยให้พอร์ตของเรานั้นยัง “อยู่รอดและเติบโต” ได้ในระยะยาว จึงสรุปการปรับพอร์ตปี 2025 ดังนี้

-
Q1/2025 ตลาดหุ้นโลกเปิดปีด้วยความหวังที่ Fed ลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง แต่ต้องพลาดไปจากเงินเฟ้อที่ชะลอลงส่งผลให้ Bond Yield ผันผวนสูง และเริ่มมีความกังวลต่อหุ้น AI และ Big Tech
- ขายทำกำไรหุ้นเติบโตฝั่งสหรัฐฯ หลังจากตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2024 และต่อมาลดสัดส่วนในหุ้นสหรัฐฯ เพิ่มเติมจากความกังวลภาวะเศรษฐกิจรวมถึงการขู่จะขึ้นภาษีของทรัมป์
- เพิ่มหุ้น Tech จีนเข้ามาในพอร์ตจากปรากฏการณ์ DeepSeek AI
- เพิ่มสัดส่วนตราสารหนี้ไทยเพื่อลดความเสี่ยงรวมถึงความผันผวนในต่างประเทศ
-
Q2/2025 ตลาดหุ้นปรับฐานแรงจากสงครามการค้าที่ปะทุขึ้นหลังประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ออกมาประกาศจะปรับขึ้นภาษีตอบโต้ทั่วโลก
- กระจายการลงทุนไปยังตลาดหุ้นเอเชียที่จะได้ประโยชน์จากแนวโน้ม USD อ่อนค่า
- กลับเข้าลงทุนหุ้นเติบโตฝั่งสหรัฐฯ อีกครั้งจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งรวมถึงผลประกอบการของบริษัทในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด
- ขายทำกำไรจากตราสารหนี้ไทยบางส่วนเพื่อกระจายไปยังตราสารหนี้ต่างประเทศ บนคาดหวังการลดดอกเบี้ยของ Fed ในระยะข้างหน้า
- มีการเข้าลงทุนในทองคำเพื่อให้พอร์ตมีการกระจายความเสี่ยงมากขึ้นพร้อมทั้งจะได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยของ Fed ที่จะส่งผลทำให้ค่าเงิน USD อ่อนค่า
-
Q3/2025 หลังตลาดหุ้นฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากการเลื่อนขึ้นภาษี ความผันผวนกลับมาอีกครั้งหลัง Bond Yield สหรัฐฯปรับตัวขึ้นจากความไม่แน่นอนเรื่องการลดดอกเบี้ยของ Fed
- กระจายการลงทุนจากหุ้นยุโรปขนาดใหญ่ไปยังขนาดเล็กหลังจากมูลค่ามีความน่าสนใจ
- มีการเพิ่มสัดส่วนหุ้นเอเชียอย่างต่อเนื่องจากแนวโน้มค่าเงิน USD ที่ยังคงอ่อนค่า
- ลดสัดส่วนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ ที่มูลค่าเริ่มตึงตัวไปเพิ่มหุ้นจีนทั้ง A share และ H share ที่จะได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจ
- ทำกำไรในหุ้นญี่ปุ่นบางส่วนหลังปรับตัวขึ้นแรงก่อนหน้านี้
- ลดสัดส่วนตราสารหนี้ไทยต่อเนื่องเพื่อเพิ่มสัดส่วนในพันธบัตรระยะกลางสหรัฐฯ มากขึ้น
-
Q4/2025 เกิดเหตุการณ์ U.S. Government Shutdown ส่งผลให้การเผยแพร่ข้อมูลทางเศรษฐกิจหลายตัวต้องเลื่อนออกไป และอาจกระทบต่อการลดดอกเบี้ยของ Fed รวมถึงความกังวลต่อ valuation ของหุ้นกลุ่มเทคฯ ยังเกิดคำถามอย่างต่อเนื่อง
- ลดสัดส่วนในหุ้นยุโรปหลังปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจนทำ All Time High อีกครั้ง
- กลับเข้ามาเพิ่มลงทุนหุ้นเติบโตฝั่งสหรัฐฯ อีกครั้งหลังตลาดเริ่มคลายกังวล AI Bubble
- ลดสัดส่วนตราสารหนี้ไทยอย่างต่อเนื่องรวมถึงพันธบัตรสหรัฐฯ ระยะสั้น เพื่อกระจายไปยังพันธบัตรสหรัฐฯระยะยาวมากขึ้นคาดหวังการลดดอกเบี้ยของ Fed ในเดือนธันวาคมนี้
คำแนะนำลงทุนจาก K WEALTH
สำหรับนักลงทุนที่เห็นถึงโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวจาก K-WealthPLUS Series โดยมีการกระจายการลงทุนหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลก ที่ครบจบในกองเดียว พร้อมทั้งได้สิทธ์ลดหย่อนภาษี