อัปเดตสถานการณ์ไทยยุบสภา–สู่โหมดเลือกตั้ง ส่งผลตลาดผันผวนระยะสั้น นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอาจเลื่อน นักลงทุนจับตาการตั้งรัฐบาลใหม่ เสถียรภาพการเมือง และทิศทางเศรษฐกิจปีหน้า

นายกฯ ยุบสภา จับตาการเมืองไทยเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง

อัปเดตสถานการณ์ไทยยุบสภา–สู่โหมดเลือกตั้ง ส่งผลตลาดผันผวนระยะสั้น นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอาจเลื่อน นักลงทุนจับตาการตั้งรัฐบาลใหม่ เสถียรภาพการเมือง และทิศทางเศรษฐกิจปีหน้า

กดฟัง
หยุด
  • นายกประกาศยุบสภา–เข้าสู่โหมดเลือกตั้ง ทำให้ตลาดยังผันผวนระยะสั้น ขณะที่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหลายโครงการอาจเลื่อน ส่งผลให้ตลาดขาดแรงหนุนจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่และนโยบายชัดเจน
  • ระยะถัดไปขึ้นกับเสถียรภาพการเมือง หากตั้งรัฐบาลราบรื่น ความเชื่อมั่นและเศรษฐกิจมีโอกาสฟื้น แต่ถ้ามีข้อกฎหมาย ทำให้ดีเลย์หรือจัดตั้งรัฐบาลลำบาก ความผันผวนตลาดอาจเพิ่มขึ้น และ Bond yield มีแนวโน้มขยับขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่าน

Market Update

คืนวันที่ 11 ธันวาคม 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้ยื่นโปรดเกล้ายุบสภาอย่างเป็นทางการ เพื่อจัดการเลือกตั้งทั่วไปภายใน 45–60 วัน ตามรัฐธรรมนูญ หรือประมาณช่วงเดือน ก.พ.


การยุบสภาครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการแตกหักกับพรรคประชาชน ซึ่งเคยสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาล แต่ถอนตัวหลังข้อเสนอ “ตัดอำนาจ ส.ว. 1 ใน 3” ถูกโหวตต้านในสภา เกิดความไม่พอใจของพรรคประชาชนที่เห็นว่าพรรคภูมิใจไทยของนายอนุทินผิดข้อตกลงทางการเมือง และเกิดความวุ่นวายในสภาจากการโหวตมาตรา 256/28 ที่ต้องขานชื่อใหม่ เพราะคะแนนสูสี


Related Indices

  • SET Index -1.29%

(ข้อมูล ณ วันที่ 11 ธ.ค. 2568)


Market Outlook

  • K WEALTH ยังคงมุมมอง Neutral ต่อตลาดหุ้นไทย
  • โดยการเข้าสู่โหมดเลือกตั้งจะช่วยลดแรงกดดันทางการเมืองบางส่วน และเปิดทางสู่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีเสถียรภาพมากขึ้น แต่ในระยะสั้นยังมีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะจากการที่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหลายรายการที่รัฐบาลเตรียมประกาศ เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 2, นโยบาย TISA และพันธบัตรออมพลัส อาจต้องชะลอหรือเลื่อนออกไปก่อน
  • ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้ตลาดขาดแรงสนับสนุนระยะสั้น ไปจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารอย่างเป็นทางการ พร้อมทิศทางของนโยบายเศรษฐกิจที่มีความชัดเจนขึ้น
  • มุมมองต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยที่อาจดีขึ้นหลังเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามรัฐบาลใหม่อาจมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งอาจต้องมีการกู้ยืมส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของพันธบัตรอาจทำให้ Bond yield ไทยปรับเพิ่มขึ้นในระยะสั้น
  • แต่หากกระบวนการล่าช้า มีข้อโต้แย้งทางกฎหมาย หรือเกิดความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง ความผันผวนของตลาดอาจเพิ่มขึ้น และอาจกดดันความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อเนื่อง

สิ่งที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

  • การประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาและวันเลือกตั้งจาก กกต.
  • ความชัดเจนของนโยบายเศรษฐกิจจากพรรคการเมืองหลัก โดยเฉพาะแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจ การคลัง และการกู้ยืม

คำแนะนำการลงทุน

  • สำหรับนักลงทุนที่ถือกองทุนหุ้นไทย
    • หากมีสัดส่วนมากกว่า 20% แนะนำทยอยลดสัดส่วนให้น้อยกว่า 20% และถือต่อได้ หรือนำเงินลงทุนใหม่ไปลงทุนในกองทุนแนะนำอื่นที่น่าสนใจ
    • หากมีสัดส่วนน้อยกว่า 20% แนะนำถือต่อได้ หรือนำเงินลงทุนใหม่ไปลงทุนในกองทุนแนะนำอื่นที่น่าสนใจ

  • สำหรับนักลงทุนทั่วไป และผู้ที่ไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นไทย
    • สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นไทย แนะนำลงทุนในกองทุนแนะนำอื่น หรือกองทุนลดหย่อนภาษี

  • สำหรับเงินที่ได้จากการขายคืนและเงินที่ต้องการลงทุนเพิ่ม แนะนำลงทุนกองทุนที่น่าสนใจ ตามระดับความเสี่ยงที่รับได้ ดังนี้

    ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง สามารถทยอยเข้าลงทุนในกองทุนแนะนำที่มีศักยภาพเติบโตระยะยาว เช่น

    • ประเทศเศรษฐกิจขยายตัวสูงอย่างอินเดียผ่านกองทุน K-INDIA และประเทศจีนผ่านกองทุน K-CHINA
    • กลุ่ม Defensive ไม่ว่าจะเป็น Global Healthcare ผ่านกองทุน KT-HEALTHCARE หรือ K-GHEALTH หรือกลุ่ม Global Infrastructure ผ่านกองทุน K-GINFRA
    • กองทุนหุ้นโลกที่เน้นคัดเลือกหุ้นคุณภาพผ่านกองทุน K-GSELECT
    • กองทุนหุ้นเทคโนโลยีเอเชียผ่านกองทุน K-ATECH

    ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงต่ำ แนะนำทยอยเข้าลงทุนในกองทุนผสมที่มีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ได้แก่

    • K-WealthPLUS Series ซึ่งเป็นกองทุนผสมอย่าง K-WPBALANCED K-WPSPEEDUP
    • K-FIXEDPLUS-A ซึ่งเป็นกองทุนกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว

    ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ แนะนำลงทุนในกองทุนตลาดเงินหรือตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น K-SFPLUS-A


  • สำหรับกองทุนลดหย่อนภาษี ที่เน้นลงทุนในไทย อย่างกองทุน Thai ESG
    • ที่เป็นกองทุนหุ้นไทย เช่น K-TNZ-ThaiESG หรือกองทุนผสม K-BL30-ThaiESG ที่ลงทุนหุ้นไทยไม่เกิน 30% สามารถลงทุนได้ เนื่องจากเป็นการลงทุนระยะยาว 5 ปีเต็ม ที่ผลกระทบระยะสั้นไม่มีนัยสำคัญต่อการถือลงทุน
    • หรือหากยังกังวลไจ สามารถลงทุนกองทุน Thai ESG ที่เป็นกองทุนตราสารหนี้ เช่น K-ESGBF-ThaiESG ที่ลงทุนตราสารหนี้ทั้งรัฐและเอกชน หรือ K-ESGSI-ThaiESG ที่ลงทุนตราสารหนี้ภาครัฐเป็นหลัก

  • นักลงทุนที่ถือกองทุนหุ้นสัดส่วนเกิน 20% หรือมีกำไรมากกว่า 10% แนะนำทยอยขายทำกำไรบางส่วน (Take Profit) เพื่อล็อกผลตอบแทนและปรับพอร์ตให้สมดุล

หมายเหตุ:
  • ระดับความเสี่ยงกองทุน
    • K-ESGSI-ThaiESG: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 3
    • K-SFPLUS, K-FIXEDPLUS-A, K-ESGBF-ThaiESG ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
    • K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED, K-BL30-ThaiESG ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
    • K-TNZ-ThaiESG, K-CHINA, K-GSELECT, K-INDIA-A(A), K-GHEALTH, K-ATECH: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
  • นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
    • K-SFPLUS: ป้องกันความเสี่ยง 100% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
    • K-FIXEDPLUS-A, K-BL30-ThaiESG, K-ESGBF-ThaiESG, K-ESGSI-ThaiESG: ป้องกันความเสี่ยงมากกว่า 90% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
    • K-CHINA, K-INDIA-A(A), K-GHEALTH: ป้องกันความเสี่ยงไม่น้อยกว่า 75% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
    • K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-GSELECT, K-ATECH: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
  • ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
    • K-SFPLUS: T+1
    • K-FIXEDPLUS-A, K-BL30-ThaiESG, K-TNZ-ThaiESG, K-ESGBF-ThaiESG, K-ESGSI-ThaiESG: T+2
    • K-GSELECT: T+3
    • K-CHINA, K-INDIA-A(A), K-GHEALTH, K-ATECH: T+4
    • K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: T+6

คำเตือน

Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”, “ทำความเข้าเงื่อนไขการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีและผลกระทบหากทำผิดเงื่อนไขก่อนตัดสินใจลงทุน”

ผู้เขียน

CIO Office at K WEALTH

Back to top