• GDP อินเดียไตรมาส 3 ขยายตัว 8.2% (YoY) มากกว่าคาดการณ์ที่ 7.4% (YoY) นับเป็นการเติบโตสูงสุดตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2024 จากภาคการผลิต การบริการและกิจกรรมทางการเงินที่เติบโต
• K WEALTH มีมุมมองค่อนข้างบวก (Slightly Positive) ต่อการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย สำหรับผู้ที่ถือกองทุนหุ้นอินเดีย แนะนำถือต่อและสามารถทยอยสะสมได้ หากมีสัดส่วนน้อยกว่า 20%
Market Update
วันที่ 1 ธ.ค. 2568 อินเดียประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ขยายตัว 8.2% (YoY) มากกว่าคาดการณ์ที่ 7.4% (YoY) นับเป็นอัตราการเติบโตที่สูงสุดตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2024
โดยภาคการผลิตเติบโตสูงถึง 9.1% (YoY) เช่นเดียวกับภาคบริการที่เติบโต 9.2% (YoY) หนุนด้วยกิจกรรมทางการเงินที่เติบโต 10.2% (YoY) ขณะที่การลงทุนยังเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปที่ 7.3% (YoY) ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาส 2 ที่เติบโต 7.8% (YoY) ทางด้านการใช้จ่ายภาครัฐหดตัว 2.7% (YoY) เป็นไปตามแนวทางนโยบายลดการขาดดุลการคลัง
ขณะที่นายกฯ โมดี โพสต์ผ่านแพลตฟอร์ม X ว่าตัวเลข GDP ที่ออกมาน่าประทับใจมาก เป็นผลจากการกระตุ้นและปฏิรูปของรัฐบาล
Related Indices & Funds
BSE200 -0.04%
NIFTY50 -0.05%
(ข้อมูล ณ วันที่ 28 พ.ย. 2568)
Market Outlook
K WEALTH มีมุมมองค่อนข้างบวก (Slightly Positive) ต่อการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย โดยตัวเลขและรายละเอียดที่เปิดเผยออกมาชี้ชัดว่าเป็นผลดีจากการลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อครึ่งแรกของปี 2025 และการลดภาษีบริโภค (GST) ที่หนุนภาคบริการ ขณะที่การผลิตอาจเป็นผลมาจากการ Front-loading ซึ่งอาจเติบโตลดลงบ้างในช่วงหลังจากนี้ อย่างไรก็ตามคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยยะ เนื่องจากเศรษฐกิจอินเดียพึ่งพาภาคบริการและการบริโภคภายในเป็นหลัก
K WEALTH มองว่าโมเมนตัมการฟื้นตัวค่อนข้างชัดเจน สะท้อนผ่านกิจกรรมทางการเงินที่ฟื้นตัว และจะดำเนินต่อไปในไตรมาส 4 รวมถึงต้นปีหน้า
คำแนะนำการลงทุน
สำหรับนักลงทุนที่ถือกองทุนหุ้นอินเดีย
- หากมีสัดส่วนมากกว่า 20% แนะนำทยอยลดสัดส่วนให้น้อยกว่า 20% และถือต่อได้ หรือแบ่งสัดส่วนไปลงทุนในกองทุนแนะนำอื่นที่น่าสนใจ
- หากมีสัดส่วนน้อยกว่า 20% แนะนำถือต่อ และสามารถทยอยสะสมได้ โดยแนะนำให้มีสัดส่วนไม่เกิน 20%
สำหรับนักลงทุนทั่วไป และผู้ที่ไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นอินเดีย
- สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีสถานะการลงทุนในกองทุนหุ้นอินเดีย สามารถทยอยสะสมได้ โดยแนะนำให้มีสัดส่วนไม่เกิน 20%
สำหรับเงินที่ได้จากการขายคืนและเงินที่ต้องการลงทุนเพิ่ม
ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง สามารถทยอยเข้าลงทุนในกองทุนแนะนำที่มีศักยภาพเติบโตระยะยาว เช่น
- ประเทศเศรษฐกิจขยายตัวสูงอย่างประเทศจีนผ่านกองทุน K-CHINA
- กลุ่ม Defensive ไม่ว่าจะเป็น Global Healthcare ผ่านกองทุน KT-HEALTHCARE หรือ K-GHEALTH หรือกลุ่ม Global Infrastructure ผ่านกองทุน K-GINFRA
- กองทุนหุ้นเทคโนโลยีเอเชียผ่านกองทุน K-ATECH ซึ่งมีระดับ Valuation ที่น่าสนใจกว่า
ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงต่ำ แนะนำทยอยเข้าลงทุนในกองทุนผสมที่มีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ได้แก่
- K-WealthPLUS Series ซึ่งเป็นกองทุนผสมอย่าง K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP
- K-FIXEDPLUS-A ซึ่งเป็นกองทุนกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว
ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ แนะนำลงทุนในกองทุนตลาดเงินหรือตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น K-SFPLUS-A
สำหรับนักลงทุนที่ถือกองทุนหุ้นอื่นๆ นอกเหนือจากสหรัฐฯ หากมีสัดส่วนเกิน 20% หรือมีกำไรมากกว่า 10% แนะนำทยอยขายทำกำไรบางส่วน (Take Profit) เพื่อล็อกผลตอบแทนและปรับพอร์ตให้สมดุล
หมายเหตุ:
• ระดับความเสี่ยงกองทุน
o K-SFPLUS, K-FIXEDPLUS-A ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4
o K-WPSPEEDUP, K-WPBALANCED ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5
o K-CHINA, K-GHEALTH, K-GINFRA, K-ATECH: ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6
• นโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
oK-SFPLUS: ป้องกันความเสี่ยง 100% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
oK-FIXEDPLUS-A: ป้องกันความเสี่ยงมากกว่า 90% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
oK-CHINA, K-GHEALTH, K-GINFRA: ป้องกันความเสี่ยงไม่น้อยกว่า 75% ของเงินลงทุนต่างประเทศ
oK-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-ATECH: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
• ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน (ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน T+6 หมายถึง จะได้รับเงินค่าขายคืน 6 วันทำการถัดจากวันที่ทำรายการ (T+6) เช่น ขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคืนวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป (กรณีไม่มีวันหยุดอื่น นอกจากเสาร์-อาทิตย์))
o K-SFPLUS: T+1
o K-FIXEDPLUS-A: T+2
o K-CHINA, K-GHEALTH, K-GINFRA, K-ATECH: T+4
o K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP: T+6