หุ้นเทคสหรัฐฯ Mag7 นำทีมโตต่อ เอายังไงดี? ฝั่งเทคเอเชียที่มูลค่าต่ำกว่า น่าสนใจกว่าหรือไม่?

สรุปงบหุ้นเทคสหรัฐฯ และเอเชีย ครบจบที่เดียว

หุ้นเทคสหรัฐฯ Mag7 นำทีมโตต่อ เอายังไงดี? ฝั่งเทคเอเชียที่มูลค่าต่ำกว่า น่าสนใจกว่าหรือไม่?

กดฟัง
หยุด
  • นักลงทุนจับตาการลงทุนในเทคโนโลยี AI และเม็ดเงิน Capex ของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (Hyperscalers) โดยคาดหวังการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างน้อย 1–2 ปี พร้อมติดตามโมเดล AI ใหม่ที่จะสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน
  • รายได้และกำไรของบริษัทเทคโนโลยีทั้งสหรัฐฯ และเอเชียเติบโตโดดเด่นจากกระแส AI เช่น Microsoft, NVIDIA, TSMC แต่ราคาหุ้นตอบรับทรงตัวหรือย่อตัวลง เพราะตลาดรับรู้ข่าวล่วงหน้าแล้ว
  • สำหรับหุ้นเทคสหรัฐฯ มีมุมมอง Neutral แต่ระยะยาวยังมีศักยภาพ โดยเทคโนโลยีฝั่งเอเชียมีมูลค่าตึงตัวน้อยกว่า และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับ Data Center และ Cyber Security อาจเป็นธีมเด่นต่อเนื่องถึงต้นปี 2026

ส่องภาพรวมตลาดล่าสุด นักลงทุนกำลังจับตาอะไรอยู่?

เป็นกระแสมาตลอดปีสำหรับบริษัทเทคโนโลยีและเม็ดเงินลงทุนในเทคโนโลยี AI (Capex) นักลงทุนต่างติดตามว่าบริษัทเทคโนโลยีจะประกาศโมเดล AI หรือนวัตกรรม AI ใหม่ที่ทำให้บริษัทนั้นครองตลาด AI ในช่วงเวลาเดียวกันก็มาพร้อมการติดตามตัวเลขเม็ดเงินลงทุน (Capex) โดยเฉพาะจากบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่มีเงินทุนหนาซึ่งเรียกว่ากลุ่ม Hyperscalers นอกจากจะคาดหวังเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังคาดหวังว่าจะไม่ลดลงอย่างน้อยในระยะ 1-2 ปีต่อจากนี้


เมื่อกระแสมาเช่นนี้ ผลประกอบการทุกไตรมาสย่อมถูกจับตาอย่างใกล้ชิด แน่นอนว่าต้องคาดหวังรายได้และกำไรที่เติบโต รวมไปถึงแนวโน้มไตรมาสต่อไปและรายปีที่ดีกว่าคาดการณ์ พร้อมข่าวเชิงบวก เช่น คำสั่งซื้อจากลูกค้าเพิ่มขึ้น, ใช้กำลังผลิตเต็ม 100% สุดท้ายเป็นภาพรวมมหภาคกับทิศทางเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ย ซึ่งนักลงทุนคาดหวังว่าเศรษฐกิจจะอยู่ในภาวะเหมาะสมมากพอส่งผลให้ธนาคารกลางลดอัตราดอกเบี้ยได้อย่างที่คาดการณ์ไว้


แต่วันนี้ไปดูผลประกอบการหุ้นเทคโนโลยีทั้งสหรัฐฯ และฝั่งเอเชียกันหน่อยว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง?


ส่องผลประกอบการหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ไปกับหุ้นกลุ่ม Magnificent 7 (Mag7)

หุ้นกลุ่ม Mag7 หรือหุ้น 7 นางฟ้า เป็นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่จากสหรัฐฯ พื้นฐานแกร่ง ที่แทบจะครอบครองทั้งตลาดเทคโนโลยี สามารถใช้เป็นสิ่งชี้วัดทิศทางอนาคตได้เช่นกัน เริ่มกันที่…

  • Microsoft
    • รายได้: 77,670 ล้านดอลลาร์ มากกว่าคาดที่ 75,330 ล้านดอลลาร์
    • EPS (กำไรต่อหุ้น) อยู่ที่ $4.13 มากกว่าคาดที่ $3.67
    • ภาพรวมไตรมาส 3: ผลิตภัณฑ์หลักอย่าง Azure กลับมาเติบโตแรงถึง 40% (YoY) ส่งให้ธุรกิจ Intelligent Cloud เติบโต 28% (YoY) หนุนรายได้ดีกว่าคาด ส่วนอีก 2 ธุรกิจหลักอย่าง Productivity & Business Processes และ More Personal Computing ต่างสร้างรายได้สูงกว่าคาดการณ์เช่นกัน
    • แนวโน้มไตรมาส 4: บริษัทประมาณการว่ารายได้ไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 จะอยู่ที่ 79,500-80,600 ล้านดอลลาร์ มากกว่าคาดการณ์ และ Azure จะเติบโต 37% (YoY) เป็นไปตามคาดการณ์
    • การตอบรับของตลาด: ราคาหุ้นร่วงลงมาหลัง CFO เผยว่าปี 2026 เม็ดเงินลงทุน (Capex) จะเพิ่มด้วยอัตราที่มากกว่าปี 2025 สวนทางกลับก่อนหน้านี้ที่เผยว่าอัตราการเติบโตจะชะลอลง

  • Meta
    • รายได้: 51,240 ล้านดอลลาร์ มากกว่าคาดที่ 49,410 ล้านดอลลาร์
    • EPS (กำไรต่อหุ้น) อยู่ที่ $7.25 มากกว่าคาดที่ $6.69
    • แนวโน้มไตรมาส 4: พร้อมเผยประมาณการไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 ว่ารายได้จะอยู่ที่ 56,000-59,000 ล้านดอลลาร์ มากกว่าคาดการณ์ นอกจากนี้บริษัทยังปรับประมาณการค่าใช้จ่ายทั้งหมดของปี 2025 เป็น 116,000-$118,000 ล้านดอลลาร์ จากก่อนหน้านี้ที่ 114,000-118,000 ล้านดอลลาร์ โดยเป็น Capex 70,000-72,000 ล้านดอลลาร์ จากเดิมที่ 66,000-72,000 ล้านดอลลาร์
    • การตอบรับของตลาด: ราคาหุ้นปรับตัวลงเนื่องจากบริษัทเผยว่า Meta โดนเก็บภาษีตามกฎหมาย One Big Beautiful Bill โดยเป็นแบบ One-time และ Non-cash เป็นรายการครั้งเดียวและไม่กระทบกระแสเงินสดทันที

  • Alphabet (Google)
    • รายได้ 102,350 ล้านดอลลาร์ มากกว่าคาดที่ 99,890 ล้านดอลลาร์
    • EPS (กำไรต่อหุ้น) อยู่ที่ $3.10 มากกว่าคาดที่ $2.33
    • ภาพรวมไตรมาส 3: โดยรายได้จากโฆษณา Youtube อยู่ที่ 10,260 ล้านดอลลาร์ มากกว่าคาดที่ 10,010 ล้านดอลลาร์ รายได้จาก Google Cloud เติบโต 34% (YoY) อยู่ที่ 15,150 ล้านดอลลาร์ มากกว่าคาดที่ 14,740 ล้านดอลลาร์ ขณะที่รายได้จาก Google Search เพิ่มขึ้น 15% (YoY) มาที่ 56,560 ล้านดอลลาร์
    • แนวโน้มไตรมาส 4: บริษัทเผยว่าจะเพิ่ม Capex สำหรับปี 2025 จากเดิมที่ 85,000 ล้านดอลลาร์ มาที่ช่วงประมาณ 91,000-93,000 ล้านดอลลาร์ แถม CEO เผยว่ายังมียอดจองใช้ Cloud ซึ่งมีบริการ AI อยู่ในธุรกิจดังกล่าวของบริษัท เป็นยอดรวม 155,000 ล้านดอลลาร์
    • การตอบรับของตลาด: ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นรับผลประกอบการดีกว่าคาดการณ์จากนักวิเคราะห์

  • Apple
    • รายได้ 102,470 ล้านดอลลาร์ มากกว่าคาดเล็กน้อยที่ 102,240 ล้านดอลลาร์
    • EPS (กำไรต่อหุ้น) อยู่ที่ $1.85 มากกว่าคาดที่ $1.77
    • ภาพรวมไตรมาส 3: รายได้หลักอย่าง iPhone เพิ่มขึ้น 6% (YoY) มาที่ 49,030 ล้านดอลลาร์ แต่ต่ำกว่าคาดที่ 50,190 ล้านดอลลาร์ ส่วนรายได้จาก Services ซึ่งมีบทบาทมากขึ้น ออกมาที่ 28,750 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 15% (YoY) และสูงกว่าคาดที่ 28,170 ล้านดอลลาร์ Apple รับอานิสงส์จากเสียงตอบรับ iPhone 17 ที่ดีกว่าคาด และส่งผลดีต่อผลประกอบการ
    • แนวโน้มไตรมาส 4: Tim Cook เผยกับ CNBC ว่ารายได้ไตรมาส 4 ปี 2025 จะเติบโตประมาณ 10-12% (YoY)
    • การตอบรับของตลาด: ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเล็กน้อยรับข่าวเสียงตอบรับ iPhone 17 ดีกว่าคาด

  • Amazon
    • รายได้ 180,170 ล้านดอลลาร์ มากกว่าคาดที่ 177,800 ล้านดอลลาร์
    • EPS (กำไรต่อหุ้น) อยู่ที่ $1.95 มากกว่าคาดที่ $1.57
    • ภาพรวมไตรมาส 3: รายได้จากธุรกิจหลัก Amazon Web Services เพิ่มขึ้น 20.2% (YoY) มาที่ 33,000 ล้านดอลลาร์ มากกว่าคาดที่ 32,420 ล้านดอลลาร์ รับความต้องการ AI ขณะที่รายได้จากโฆษณา ออกมาที่ 17,700 ล้านดอลลาร์ มากกว่าคาดที่ 17,340 ล้านดอลลาร์
    • แนวโน้มไตรมาส 4: บริษัทเปิดเผยประมาณการรายได้ไตรมาส 4 ปี 2025 อยู่ที่ 206,000-213,000 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าคาดการณ์ พร้อมเผยว่า Capex ปี 2025 จะเพิ่มมาที่ 125,000 ล้านดอลลาร์ จากก่อนหน้าประมาณการไว้ที่ 118,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนปี 2026 ทาง CFO ยังไม่เผยตัวเลข แต่จะเพิ่มจากปี 2025
    • การตอบรับของตลาด: ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นตอบรับผลประกอบการที่ดีกว่าคาดการณ์ ส่วนแนวโน้มไตรมาส 4 ไม่มีจุดที่สร้างความกังวลให้ตลาด

  • Tesla
    • รายได้ กลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง หลังหดตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาส โดยออกมาที่ 28,100 ล้านดอลลาร์ มากกว่าคาดที่ 26,370 ล้านดอลลาร์
    • EPS (กำไรต่อหุ้น) อยู่ที่ $0.50 ต่ำกว่าคาดที่ $0.54 ซึ่งเป็นผลจากค่าใช้จ่ายดำเนินงานและค่าใช้จ่าย R&D ด้าน AI ขณะที่ยอดส่งมอบรถแตะสถิติสูงสุดที่ 497,099 คัน
    • การตอบรับของตลาด: ราคาหุ้นปรับตัวลง รับข่าวผลประกอบการต่ำกว่าคาดการณ์ บริษัทไม่เปิดเผยประมาณการไตรมาสถัดไป ส่งผลให้นักลงทุนผิดหวัง กดดันราคาหุ้นปรับตัวลง แต่เผยว่าจะเริ่มผลิต Cybercab ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2026 และOptimus V3 (Humanoid Robot) จะเปิดตัว ไตรมาส 1 ปี 2026

  • NVIDIA
    • รายได้: NVIDIA ยังเติบโตอย่างน่าสนใจต่อไป รายได้เพิ่มขึ้น 62% (YoY) มาที่ 57,010 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าคาดที่ 54,920 ล้านดอลลาร์
    • EPS (กำไรต่อหุ้น) อยู่ที่ $1.30 สูงกว่าคาดที่ $1.25
    • ภาพรวมไตรมาส 3: รายได้จากธุรกิจหลัก Data Center เพิ่มขึ้น 66% (YoY) มาที่ 51,200 ล้านดอลลาร์ เป็นรายได้จาก GPU ถึง 43,000 ล้านดอลลาร์ และ Networking 8,200 ล้านดอลลาร์ ตามด้วยธุรกิจ Gaming ออกมาที่ 4,300 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 30% (YoY) ธุรกิจ Professional Visualization อยู่ที่ 760 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 56% (YoY) และธุรกิจ Automotive & Robotics อยู่ที่ 592 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 32% (YoY) บริษัทเผยว่าชิปรุ่น GB300 เป็นรุ่นหลักที่หนุนให้รายได้เติบโตแรง และมียอดสั่งซื้อชิปอยู่ประมาณ 500,000 ล้านดอลลาร์
    • แนวโน้มไตรมาส 4: ประมาณการรายได้ไตรมาส 4 ปี 2025 ตั้งไว้ที่ 65,000 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าคาดที่ 61,660 ล้านดอลลาร์ โดยหลังจากนี้ต้องติดตามทิศทางการส่งออกชิปไปจีน ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถส่งชิปเข้าจีนได้
    • การตอบรับของตลาด: ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นในช่วงเปิดตลาด แต่ปิดลบจากแรงกดดันตัวเลขตลาดแรงงานแกร่งกว่าคาด ส่งให้ตลาดกังวลว่า Fed อาจไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค. นี้

หุ้นเทคฝั่งเอเชียและจีน รับอานิสงส์ AI เช่นกัน

  • TSMC
    • รายได้: ออกมาที่ 989,920 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน (33,100 ล้านดอลลาร์) เพิ่มขึ้น 30.3% (YoY) มากกว่าคาดที่ 977,460 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน
    • กำไรสุทธิ: ออกมาที่ 452,300 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน เพิ่มขึ้น 39.1% (YoY) มากกว่าคาดที่ 417,690 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน
    • ภาพรวมไตรมาส 3: TSMC ตอกย้ำความเป็นผู้นำแห่งวงการผู้ผลิตชิป โดยมีรายได้จาก Advanced chips (ขนาดต่ำกว่า 7 nm) คิดเป็น 74% ของรายได้ ขณะที่กระแส AI หนุนให้ความต้องการชิปขนาด 4 nm และ 3 nm สูงมาก ซึ่งเป็นผลดีต่อรายได้และอัตรากำไร
    • แนวโน้มไตรมาส 4: TSMC ปรับเพิ่มประมาณการรายได้ปี 2025 จากก่อนหน้าที่คาดว่าจะเติบโต 30% เป็นประมาณ 35% และเพิ่ม Capex ขั้นต่ำจากเดิมที่ 38,000 ล้านดอลลาร์ เป็น 40,000 ล้านดอลลาร์

  • Tencent
    • รายได้เติบโต 15% (YoY) มาที่ 192,900 ล้านหยวน สูงกว่าคาดที่ 189,200 ล้านหยวน ขับเคลื่อนโดยธุรกิจหลักทั้ง Gaming และ Social Media ที่สร้างรายได้รวมกัน 95,900 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 16% (YoY) โดยฝั่ง Gaming ประสบความสำเร็จทั้งในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น Delta Force, VALORANT MOBILE, Clash Royale, Dying Light: The Beast
    • EPS (กำไรต่อหุ้น) อยู่ที่ 8.281 หยวนต่อหุ้น สูงกว่าคาดที่ 7.655 หยวนต่อหุ้น
    • แนวโน้มไตรมาส 4: Tencent เผยว่าบริษัทเพิ่ม Capex ลงทุน AI และกำลังตั้งเป้าขยายธุรกิจ Cloud Computing ไปยังยุโรป และยังเปิดเผยเพิ่มอีกว่าการลงทุน AI ได้ส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการยิงโฆษณาและเกมส์หาลูกค้าบนแพลตฟอร์ม ซึ่งปัจจุบัน Tencent ได้ใช้โมเดล DeepSeek ในบางผลิตภัณฑ์แล้ว

  • Samsung
    • รายได้ออกมาที่ 86.1 ล้านล้านวอน เพิ่มขึ้น 8.85% (YoY) สูงกว่าคาดที่ 85.93 ล้านล้านวอน
    • กำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit) อยู่ที่ 12.2 ล้านล้านวอน เพิ่มขึ้น 32.9% (YoY) มากกว่าคาดที่ 11.25 ล้านล้านวอน
    • EPS (กำไรต่อหุ้น) อยู่ที่ 1,802 วอนต่อหุ้น สูงกว่าคาดที่ 1,393 วอนต่อหุ้น
    • ภาพรวมไตรมาส 3: การเติบโตหนุนด้วยธุรกิจชิป ซึ่ง Samsung ผลิตชิปกลุ่ม Memory ที่รับอานิสงส์ความต้องการจาก AI Server และกลับมาครองอันดับ 1 แซง SK Hynix ส่งให้ยอดขายชิปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สร้างรายได้ 33.1 ล้านล้านวอน เพิ่มขึ้น 13% (YoY) และมีกำไรจากการดำเนินงาน 7 ล้านล้านวอน เพิ่มขึ้นแรงถึง 81% (YoY) ฝั่ง Smartphone & Devices เติบโตแรงเช่นกันที่ 28% (YoY) ขับเคลื่อนยอดขายโดยรุ่น Galaxy Z Fold7 และ Smartphone รุ่น Flagship อื่น

เทรนด์การเติบโตที่น่าจับตามองต่อ และมุมมองการลงทุน

เริ่มจากผลประกอบการเพียงอย่างเดียวก่อน จะเห็นว่าภาพรวมทั้งรายได้และกำไรทั้งฝั่งสหรัฐฯ และเอเชีย ยังเดินหน้าเติบโตต่ออย่างโดดเด่น บางบริษัทได้อานิสงส์จากกระแส AI บางบริษัทประกาศลงทุน AI เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้ ชี้ชัดว่าภาพการเติบโตยังน่าจะมีต่อไป


แต่การตอบรับจากตลาดที่สะท้อนผ่านความเคลื่อนไหวราคาหุ้นหลังรับทราบผลประกอบการ ภาพรวมส่วนใหญ่ออกมาค่อนข้างทรงตัวหรือย่อตัวลง หากปรับตัวขึ้นก็ไม่ได้ขึ้นแรงมาก มีเพียง Amazon เท่านั้นที่ปรับตัวขึ้นแรง เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะทำให้เห็นว่าถึงผลประกอบการจะเติบโตดีแค่ไหน แต่หากตลาดรับรู้ข่าวและใส่ความคาดหวังไปในราคาหุ้นจนปรับตัวขึ้นมาแรง ที่เรียกว่า ราคาขึ้นมารอข่าวแล้ว เมื่อนั้นมักตามมาด้วยความผันผวนและการย่อตัว


แต่ภายใต้การเติบโตของ AI ยังมีอีกหลายภาคส่วนที่ยังถูกมองข้าม และอาจได้รับความสนใจหลังจากหุ้นเทคโนโลยีรับข่าวกันไปมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับ Data Center เช่น โรงไฟฟ้า สายไฟฟ้า อุปกรณ์สำรองไฟฟ้า อุปกรณ์ระบายความร้อน รวมไปถึง Cyber Security


ดังนั้นมุมมองในปัจจุบัน K WEALTH ยังมีมุมมอง Neutral ต่อกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีโดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ในระยะสั้นรับข่าวเต็มมูลค่าไปแล้ว ส่วนในระยะยาวยังเป็นกลุ่มบริษัทที่มีการเติบโตโดดเด่น โดยมองว่ากลุ่มหุ้นเทคโนโลยีเอเชียมีความน่าสนใจกว่าในแง่มูลค่าที่ตึงตัวน้อยกว่า พร้อมการเติบโตที่เด่นไม่แพ้กัน และเริ่มมองว่ากลุ่มบริษัทที่อยู่เบื้องหลังหรือรับอานิสงส์จากการเติบโตของกระแส AI จะมีบทบาทเด่นในช่วงต่อจากนี้ไปถึงอย่างน้อยก็ช่วงต้นปี 2026


ขอขอบคุณข้อมูลจาก: CNBC


คำเตือน


ผู้เขียน

K WEALTHวีรพล บางแวก

Back to top