16 กรกฎาคม 2564
2 นาที
หมัดต่อหมัด คนละครึ่ง VS ยิ่งใช้ยิ่งได้ เลือกข้างไหนดี
“
ในช่วงโควิดแบบนี้ เชื่อว่าหลายคนได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มากก็น้อย
ทางภาครัฐจึงได้ออกโครงการเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยหรือการบริโภคภายในประเทศ
และยังเป็นการช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน และสนับสนุนร้านค้า
ผู้ประกอบการต่างๆ ให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น โครงการที่ว่านี้มีอะไรบ้าง
หากสนใจต้องทำยังไง และจะมีวิธีเลือกยังไงให้เหมาะกับเรามากที่สุด
เรามีคำแนะนำในเรื่องนี้มาฝาก
“
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงโควิด
โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในช่วงโควิดปีนี้ โดยเริ่มโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 64 ที่ผ่านมา ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับแต่ละโครงการกันก่อน
โครงการคนละครึ่ง เฟส 3
รายละเอียดโครงการ
โครงการคนละครึ่งเป็นโครงการที่หลายคนน่าจะคุ้นหูเพราะมีมาแล้ว 2 ครั้งด้วยกัน ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 3 โดยคนที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับสิทธิจากภาครัฐที่ร่วมจ่าย 50% และผู้ใช้สิทธิจ่ายเอง 50% สำหรับค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป และค่าบริการ ได้แก่ บริการนวด สปา ทำผม และทำเล็บ ค่าเดินทางโดยบริการรถโดยสารสาธารณะ ขนส่งสาธารณะหรือขนส่งมวลชนสาธารณะ ไม่รวมสลากกินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ น้ำมันและก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ บัตรกำนัล บัตรเงินสด และสินค้าและบริการรูปแบบอื่นๆ ที่เป็นการชำระค่าสินค้าหรือบริการล่วงหน้า ทั้งนี้ ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน หรือไม่เกิน 1,500 บาทต่อคนในแต่ละรอบ หรือไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาโครงการ ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 รอบด้วยกันคือ
- รอบแรก ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2564
- รอบที่สอง ตั้งแต่ 1 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2564
โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 31 ธันวาคม 2564 ผ่านแอปฯ เป๋าตัง กับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการเท่านั้น และใช้สิทธิได้ในเวลา 6.00-23.00 น. ทั้งนี้ หากใช้สิทธิไม่หมดในแต่ละวันจะไม่ถูกหักสิทธิ โดยระบบจะคืนสิทธิที่ไม่ได้ใช้เข้ายอดรวมของผู้ได้รับสิทธิ และจะคำนวณสิทธิใหม่ในเวลา 6.00 น. ของทุกวัน สำหรับวงเงินสิทธิที่เหลือในรอบที่ 1 ก็ยังสามารถนำมาใช้ในรอบที่ 2 ได้อีกด้วย
โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 เปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยให้สิทธิกับประชาชนทั้งหมด 31 ล้านคน ปัจจุบันยังมีสิทธิคงเหลืออยู่ ใครสนใจยังสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ 2 ช่องทางคือ
- ลงทะเบียนผ่าน www.คนละครึ่ง.com
- ลงทะเบียนผ่านแอปฯ เป๋าตัง พร้อมผูก G-Wallet โดยกดแถบโครงการคนละครึ่ง (สำหรับผู้ที่เคยได้รับสิทธิโครงการ/มาตรการรัฐที่ใช้แอปฯ เป๋าตัง)
โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้
รายละเอียดโครงการ
โครงการนี้เป็นโครงการใหม่ โดยคนที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับสิทธิจากภาครัฐที่สนับสนุน E-Voucher ในรูปแบบของสิทธิเข้า G-Wallet สำหรับค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าและบริการต่างๆ ได้แก่ บริการนวด สปา ทำผม และทำเล็บ แต่ไม่รวมถึงสลาก กินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ น้ำมันและก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ บัตรกำนัล บัตรเงินสด และสินค้าและบริการรูปแบบอื่นๆ ที่เป็นการชำระค่าสินค้าหรือบริการล่วงหน้า เมื่อชำระเงินผ่าน G-Wallet บนแอปฯ เป๋าตัง กับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่เข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 31 ธันวาคม 2564 โดยแบ่งเป็น
- การใช้จ่ายเพื่อนำมาคำนวณสิทธิ E-Voucher ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 30 พฤศจิกายน 2564 ซึ่งจะได้รับ E-Voucher ทุกวันที่ 7 ของเดือนถัดไป
- การใช้จ่ายด้วย E-Voucher ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2564
โดยเกณฑ์การใช้จ่ายที่จะได้รับ E-Voucher มีดังนี้
- การใช้จ่าย 1-40,000 บาทแรก จะได้รับ E-Voucher 10% แต่ไม่เกิน 4,000 บาท
- การใช้จ่าย 40,001-60,000 บาท จะได้รับ E-Voucher 15% แต่ไม่เกิน 3,000 บาท รวมสิทธิ E-Voucher สูงสุดไม่เกิน 7,000 บาทต่อคน
ทั้งนี้ วงเงินใช้จ่ายสูงสุดที่จะนำมาคำนวณสิทธิ E-Voucher ตั้งแต่วันที่ 1 - 21 กรกฎาคม 2564 ไม่เกิน 5,000 บาทต่อคนต่อวัน และตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม – 30 พฤศจิกายน 2564 นั้น ไม่เกิน 10,000 บาทต่อคนต่อวัน
โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ เปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยให้สิทธิกับประชาชนทั้งหมด 14 ล้านคน ปัจจุบันยังมีสิทธิคงเหลืออยู่ ใครสนใจยังสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ 2 ช่องทางคือ
- ลงทะเบียนผ่าน www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com
- ลงทะเบียนผ่านแอปฯ เป๋าตัง พร้อมผูก G-Wallet โดยกดแถบโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ (สำหรับผู้ที่เคยได้รับสิทธิโครงการ/มาตรการรัฐที่ใช้แอปฯ เป๋าตัง)
คุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการ
สำหรับโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ประชาชนสามารถเลือกลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้เพียง 1 โครงการเท่านั้น จะรักพี่เสียดายน้องไม่ได้ โดยคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการได้แก่
- เป็นบุคคลสัญชาติไทย มีบัตรประจำตัวประชาชน
- อายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน
- ไม่เป็นผู้ได้รับสิทธิโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
- ไม่เป็นผู้ได้รับสิทธิโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ (ผ่านบัตรประชาชน)
ข้อดีของโครงการ- ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน อย่างโครงการคนละครึ่ง รัฐก็ช่วยออกค่าใช้จ่ายให้เราครึ่งนึง ส่วนโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ รัฐก็ให้ E-Voucher ให้เราไปซื้อสินค้าบริการได้เพิ่ม
- ช่วยเพิ่มโอกาสการขายให้กับร้านค้า ผู้ประกอบการ ทำให้ขายสินค้าบริการได้มากขึ้น มีเงินหมุนเวียนในธุรกิจเพิ่มมากขึ้น
- ช่วยเพิ่มการบริโภคทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนภายในประเทศ เพราะกระตุ้นให้คนอยากใช้จ่ายมากขึ้น และเป็นการจับจ่ายใช้สอยหรือการบริโภคกันภายในประเทศ
แต่ละโครงการเหมาะกับใคร เลือกข้างไหนดี
ในเมื่อประชาชนไม่สามารถเข้าร่วมทั้ง 2 โครงการได้ แสดงว่าแต่ละโครงการถูกออกแบบมาให้เหมาะกับคนที่มีไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตและการจับจ่ายใช้สอยที่แตกต่างกัน ลองมาดูว่าโครงการไหนเหมาะกับใคร และเราควรเลือกข้างไหนดี
คนละครึ่ง เฟส3
| ยิ่งใช้ยิ่งได้
|
- คนที่เน้นซื้อของเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันที่ราคาไม่สูงมากหรือซื้อข้าวตามร้านอาหารทั่วไป - คนที่ใช้จ่ายวันละไม่เกิน 300 บาท
| - คนที่เน้นซื้อของที่มีมูลค่าสูงหรือซื้อข้าวตามร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า - คนที่ใช้จ่ายวันละไ่ม่เกิน 10,000 บาท
|
ข้อควรรู้
ข้อควรรู้ก่อนที่จะเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 และยิ่งใช้ยิ่งได้ ได้แก่
- การลงทะเบียน ผู้สนใจเข้าไปลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการใดโครงการหนึ่งผ่านเว็บไซต์โครงการหรือแอปฯ เป๋าตัง พร้อมดาวน์โหลดแอปฯ เป๋าตัง สำหรับคนที่ยังไม่มีแอปฯ หลังจากนั้นให้รอ SMS ยืนยันการลงทะเบียน เมื่อได้รับ SMS ยืนยันการลงทะเบียนสำเร็จให้ทำการยืนยันตัวตนด้วยบัตรประจำตัวประชาชน
- ก่อนใช้สิทธิ เราจะต้องเติมเงินเข้า G-Wallet ในแอปฯ เป๋าตังก่อน โดยสามารถโอนเงินจากแอปพลิเคชันการเงินของธนาคาร พร้อมเพย์ หรือจากตู้ ATM เข้าบัญชี G-Wallet เมื่อนำไปใช้จ่ายจะเป็นการหักเงินใน G-Wallet ไป
- การใช้จ่าย ต้องใช้จ่ายผ่าน G-Wallet ในแอปฯ เป๋าตัง ซึ่งเสมือนเป็นการจ่ายด้วยเงินสด ดังนั้น โปรโมชันที่ผูกกับบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือแอป Wallet ต่างๆ จึงไม่สามารถใช้ได้นั่นเอง
คำแนะนำในการจับจ่ายใช้สอยสำหรับคนที่เข้าร่วมโครงการ
สำหรับคนที่เข้าร่วมโครงการใดโครงการหนึ่ง มีคำแนะนำในการจับจ่ายใช้สอยดังนี้
• วางแผนการใช้จ่ายในแต่ละวัน
เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากแต่ละโครงการ ควรวางแผนการจับจ่ายใช้สอยในแต่ละวันให้ดี โดยการทยอยซื้อสินค้าหรือบริการในแต่ละวันไม่ให้เกินวงเงินหรือสิทธิที่ได้รับภายในระยะเวลาของโครงการ ทั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้ให้เต็มสิทธิที่ได้รับ หรือใช้จ่ายทุกวันก็ได้ เพราะมีระยะเวลาให้เราใช้จ่ายนานพอสมควร
• พิจารณาถึงความจำเป็นในการซื้อ
แม้ว่าเราจะได้รับสิทธิประโยชน์จากการใช้จ่าย แต่ก็ควรคำนึงถึงความจำเป็นในการซื้อสินค้าหรือบริการด้วยว่าของชิ้นไหนจำเป็นต้องซื้อ จำเป็นต้องใช้ หรือยังไม่จำเป็นต้องซื้อในตอนนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ใช้จ่ายมากเกินความจำเป็น รวมถึงเปรียบเทียบความคุ้มค่าของสิ่งที่ได้รับกลับมากับจำนวนเงินที่ต้องจ่ายไปทั้งหมดว่าคุ้มค่ากันหรือไม่
• ตรวจสอบประเภทสินค้าและร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการก่อนตัดสินใจใช้จ่าย
ที่สำคัญคือ ก่อนตัดสินใจใช้จ่าย อย่าลืมตรวจสอบประเภทสินค้าหรือบริการ และตรวจสอบร้านค้าก่อนว่าเข้าร่วมโครงการนั้นๆ หรือไม่ เพื่อให้การใช้จ่ายของเราเกิดประโยชน์สูงสุดนั่นเอง
การเข้าร่วมโครงการของภาครัฐ นอกจากจะได้รับสิทธิประโยชน์และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในปัจจุบันแล้ว ยังทำให้เรามีเงินเหลือในกระเป๋าเพิ่มมากขึ้น หากรู้จักจับจ่ายใช้สอยอย่างถูกวิธี เลือกซื้อเฉพาะสินค้าหรือบริการที่จำเป็น และวางแผนการใช้จ่ายในแต่ละเดือนอย่างเหมาะสม
ที่มา:
บทความโดย K WEALTH GURU สุวิมล ยิ่งเจริญรุ่งโรจน์ AFPT™