ไม่กี่ปีมานี้แบรนด์แฟชั่นหรูจำนวนไม่น้อยเริ่มเข้ามาบุกเบิกธุรกิจร้านอาหารเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ในการนำเสนอเรื่องราวและทำการตลาดกับแบรนด์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ทุกอย่างที่ถูกนำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ตั้ง การออกแบบร้านและเมนูอาหาร ล้วนเป็นไปตามบุคลิกและภาพลักษณ์ที่แบรนด์กำหนดไว้ เพื่อนำเสนอเรื่องราวให้น่าสนใจ ซึ่งแน่นอนว่า อาหารที่ดีและมีรสชาติที่อร่อย ย่อมเป็นการสร้างการรับรู้ทางการตลาดได้อย่างดี และนี่คือร้านอาหารจากไฮแบรนด์ดังที่อยากแนะนำให้คุณไปเปิดประสบการณ์ทางรสชาติที่เปี่ยม ด้วยรสนิยมดูซักครั้ง
LE CAFÉ LOUIS VUITTON
and GAGGAN AT LOUIS VUITTON
BANGKOK
Address : LV The Place ศูนย์การค้าเกสรอมรินทร์ ชั้น G-2 ถ.เพลินจิต ปทุมวัน กรุงเทพฯ
Open : Le Café ทุกวัน เวลา 10.00 – 20.00 น.
Gaggan พฤหัสบดี – จันทร์ เวลา 12.00 – 23.00 น.
ในเดือนที่ผ่านมา การเปิดตัวตัวที่ยิ่งใหญ่ของ LV The Place Bangkok ของ Louis Vuitton ทำให้ Le Café Louis Vuitton แทบจะยึดทุกแพลตฟอร์มรีวิวในโซเชี่ยลไทยจนเต็มไทม์ไลน์ ทำให้นอกจากสาวกของแบรนด์ LV ที่เข้ามาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ แล้ว ยังมีนักชิมอีกจำนวนมากที่อยากไปสัมผัสรสชาติความอร่อยแบบไฮแฟชั่นกันทั้งนั้นว่าจะเป็นอย่างไร
*เครดิตภาพจาก Louis Vuitton
LV The Place Bangkok เป็น Experience Store แบบ 360 องศา จาก Louis Vuitton ที่เป็นศูนย์รวมของผลิตภัณฑ์ ร้านอาหาร คาเฟ่ และนิทรรศการไว้ในที่เดียว ตอกย้ำการเป็นเบอร์หนึ่งของไฮแบรนด์ระดับโลกที่ครบวงจรในไลฟ์สไตล์ลักชัวรี ด้วยการบอกเล่าสตอรีของแบรนด์ผ่านสินค้าและบริการที่หรูหราและยอดเยี่ยมในทุกรายละเอียด
Strawberry Vanilla Cheesecake, Mango Tart, Monogram Cake และ Star Blossom Cake
*เครดิตภาพจาก Louis Vuitton
Le Café Louis Vuitton สาขาแรกของกรุงเทพ ฯ นั้น เป็นคาเฟ่ที่ไม่ได้มีดีแค่การนำเสนอภาพไลฟ์สไตล์แฟชั่นที่หรูหรา แต่อาหารและเครื่องดื่มยังอร่อยจนทุกคนออกปากชมแบบไม่มีที่ติ ในโซนคาเฟ่นั้น ตกแต่งด้วยบรรยากาศที่ค่อนข้างรื่นรมย์ด้วยการนำต้นไม้มาร่วมตกแต่ง ใช้เฟอร์นิเจอร์จากคอลเล็กชัน Objets Nomades ของแบรนด์ LV เมนูที่เป็นที่พูดถึงอย่างมากถึงความอร่อย ได้แก่ Star Blossom Cake เค้กช็อคโกแลตและคาราเมลสุดเข้มข้น Mango Tart ทาร์ตมะม่วงไทยกับครีมอัลมอนด์แสนอร่อยที่เข้ากันได้ดี และ Monogram Cake เค้กพิสตาชิโอและออเรนจ์บลอสซั่มที่ให้รสชาติที่แปลกใหม่ หรือจะเป็น Strawberry Vanilla Cheesecake ที่มีรสชาติอร่อยไม่แพ้หน้าตาที่ตกแต่งมาอย่างสวยงาม
*เครดิตภาพจาก Louis Vuitton
เมนูอาหารที่มีความหลากหลายทางรสชาติและรสสัมผัสผ่านมุมมองของเชฟและเรื่องราวของแบรนด์อย่าง World Map หรือการผสมผสานรสชาติสากลกับความจัดจ้านแบบไทยกับ The Lobster
Gaggan at Louis Vuitton เป็นร้านอาหารไฟน์ไดนิงร้านแรกของแบรนด์ในโซนเอเชียใต้ ให้บริการมื้อกลางวันและมื้อค่ำ ดูแลโดยเชฟคนดัง Gaggan Anand เชฟชาวอินเดียคนแรกที่ได้รับ 2 ดาวมิชลิน ภายใต้แคปชั่นสุดเท่อย่าง “If food was fashion, then it will be called "Gaggan" ใช้คอนเซ็ปต์ 5S - Sweet, Sour, Salty, Spicy และ Surprise ที่จะอยู่ในทุกคอร์สอาหาร ไม่ว่าจะเป็นเมนู World Map เมนูที่ได้แรงบันดาลใจจากการเดินทางท่องโลก ที่กลายมาเป็นแซนวิชแมงโกยูซุฟัวกรา ทาร์ตแฮมทูน่าและคาเวียร์ กับป๊อปปูลาร์เฟลเวอร์ซึ่งก็คือเกี๊ยวใสห่อต้มยำกุ้งพอดีคำ เปรียบเป็นนานารสชาติจากทั่วโลก หรือจะเป็นจานสนุก ๆ อย่าง The Lobster ล็อบสเตอร์กับซอสรสน้ำจิ้มซีฟู้ดแบบไทย ฯลฯ ทุกจานเต็มไปด้วยลูกเล่นกิมมิคที่ถ่ายทอดเรื่องราวความอร่อยอย่างสนุกและมีสไตล์ แวะมาลิ้มลองรสชาติความอร่อยแบบ Louis Vuitton ได้ทั้งคาเฟ่และร้านอาหารได้ใกล้ ๆ ใจกลางกรุงเทพฯ
Rate : Le Café Louis Vuitton เมนูเค้กและของหวาน ราคาอยู่ที่ประมาณ 390 – 550 บาท Gaggan at Louis Vuitton มื้อกลางวัน 8 คอร์ส ราคา 4,000 บาท++ / ดินเนอร์ 17 คอร์ส 8,000 บาท++
|
*เครดิตภาพจากจากไอจีของ Beige
CHANEL’s BEIGE ALAIN DUCASSE
TOKYO
Address : Chanel Ginza Building 10F, 3-5-3 Ginza, Chuo-ku, Tokyo
Open : ทุกวัน เวลา 11.00 – 15.30 น. และ 17.00 - 22.00 น.
Beige Alain Ducasse คือ ร้านอาหารหรูระดับ 2 ดาวมิชลิน โดยปรมาจารย์ทางด้านอาหารฝรั่งเศสชั้นสูงอย่างเชฟ Alain Ducasse ตั้งอยู่ในตึกของChanel ย่านกินซ่า บอกเล่าเรื่องราวของวัฒนธรรมอาหารฝรั่งเศสผสมผสานกับ Identity ของแบรนด์ Chanel โดยนำเอาสีเบจ ซึ่งเป็นไอคอนนิคหนึ่งของแบรนด์มาเป็นคอนเซ็ปต์หลักของร้าน
Kare Chanel เมนูของช็อคโกแลตที่มีหลายรสสัมผัส, Pastry Chef’s Handiwork พาสทรีชุดน้ำชาสุดหรู และ Fleur de Camellia ซึ่งเป็น Busch de Noel เค้กฝรั่งเศสที่รูปทรงเหมือนขอนไม้ นำมาดีไซน์ใหม่ด้วยลายดอกคามิเลีย
*เครดิตจาก Beige Alain Ducasses
ภายในร้านตกแต่งด้วยการออกแบบที่ผสมผสานกันระหว่างฝรั่งเศสและญี่ปุ่น เน้นความเรียบแต่โก้หรู เช่น นิยามหลักของ โคโค่ ชาแนลเคยกล่าวว่า ‘Simplicity is the keynote of all true elegance’ และ ในเรื่องของอาหาร การผสมผสานแนวคิดความเป็นฝรั่งเศส และ ญี่ปุ่นก็เป็นเช่นเดียวกัน ทางร้านจะดึงเอาเอกลักษณ์ของวัตถุดิบตามฤดูกาลมารังสรรค์เป็นศิลปะที่รับประทานได้อยู่บนจานอาหาร โดยเป็นการเฟ้นหาผลผลิตระดับพรีเมียมของญี่ปุ่นและทั่วโลก มาผสมผสานเป็นเมนูอาหารฝรั่งเศสสุดหรู ไม่ว่าจะเป็นอาหารทะเลสด ๆ หมูเหมยซานจากจังหวัดอิบารากิ เนื้อวัวชั้นดีจากฮอกไกโด ล็อบสเตอร์จากแคว้นเบรอตาญ ไก่จากแคว้นเบรสส์ ซึ่งอิมพอร์ตมาจากฝรั่งเศส
Joue de Beouf , Seared fillet of duck, chicory with orange, black truffle และ ของหวานแบบโอต์กูตูร์สไตล์ฝรั่งเศสแบบต่าง ๆ
*เครดิตจาก Beige Alain Ducasses
ทางร้านเสิร์ฟทั้งแบบเมนูคอร์ส Chef Recommend และ แบบ A La Carte นำเสนอเมนูอาหารฝรั่งเศสที่สะท้อนรูปแบบแฟชั่นของ Chanel ที่เน้นนุ่มนวลสวยหรู เรียบง่ายแต่น่าประทับใจ ยกตัวอย่างเช่น เมนู Joue de Beouf สตูว์เนื้อแบบฝรั่งเศส เนื้อแก้มวัวที่ปรุงจนนุ่ม เสิร์ฟคู่กับผักหลากสีและซอสที่มีรสวาซาบิ Seared fillet of duck, chicory with orange, black truffle จานเป็ดฟิเลต์เสิร์ฟคู่กับชิโครี่กับส้มและทรัฟเฟิลดำ ตบท้ายด้วยเมนูของหวานอย่าง Chocolate from Alain Ducasse Manufacture in Tokyo Chanel delight ที่มาพร้อมการตกแต่งช็อคโกแลตเป็นของหวานที่มีรูปลักษณ์สวยงามราวกับงานศิลปะในหลากหลายเมนู
อาหารของ Beige หลายเมนูจะเป็นเมนูที่เปลี่ยนหมุนเวียนไปตามฤดูกาล เช่น ของหวานสุดพิเศษลูกฟิกรสเค็มจากการถนอมอาหารโบราณแบบคาโกชิมะ นำมาเสิร์ฟคู่กับไอศกรีมโฮมเมดและครีมวานิลลา ราดซอสผลไม้รสเปรี้ยว หรือจะเป็นเมนูพาสทรีหรือขนมพิเศษแบบออร์เดอร์ล่วงหน้า เช่น Éclair ช็อคโกแลตสีเงินสุดเก๋ หรือ Pastry Chef’s Handiwork ชุดน้ำชายามบ่ายพร้อมชากาแฟที่ประกอบด้วยของหวานโอต์กูตูร์เจ็ดอย่างจากผลไม้ตามฤดูกาล ทั้งหมดนี้ คือรสชาติความอร่อยที่เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณแบบฝรั่งเศสที่น้อยแต่มาก เรียบแต่หรู ในแบบของชาแนล
Rate : Lunch ราคา ¥12,000 (ประมาณ 2,886 บาท) Dinner แบบ A La Cart ราคา ¥16,000 (ประมาณ 3,848 บาท) และ แบบ Signature Chef’s Recommend ราคา ¥25,000 (ประมาณ 6,013 บาท)
|
*เครดิตภาพจาก Le Restaurant Monsieur
RESTAUARANT MONSIEUR DIOR
and LA PATISSERIE DIOR
PARIS
Address : Dior Paris 30 Montaigne 32 Av. Montaigne, 75008 Paris
Open : วันจันทร์ - วันเสาร์ เวลา 11.30 – 20.00 น. และ วันอาทิตย์ เวลา 11.30-19.00 น.
สาวกดิออร์ จะต้องมาซึมซับกับประสบการณ์ทางรูป รส กลิ่น เสียงของความเป็นปารีเซียงสุดชิคที่ Dior Paris 30 Montaigne อาคารที่รวบรวมประวัติศาสตร์กว่า 75 ปีของดิออร์มาไว้ที่นี่ทั้งหมด เป็นบูติกที่ใหญ่ที่สุดของดิออร์และเต็มไปด้วยเรื่องราวและตำนานของแบรนด์ และมีร้านอาหารให้แฟนคลับดิออร์หรือผู้รักในแฟชั่นได้มาลิ้มลองรสชาติอาหารและขนมหวานแบบปารีเซียงชั้นสูง โดยจะมีอยู่ 2 ร้านภายในอาณาจักรดิออร์นี้ คือ Restaurant Monsieur Dior สำหรับเสิร์ฟอาหารฝรั่งเศสมื้อกลางวันและมื้อเย็น และ La Pâtisserie Dior คาเฟ่ที่เสิร์ฟทั้งเมนูเบรกฟาสต์และพาสทรีแบบฝรั่งเศสในแบบต่าง ๆ
*เครดิตภาพจาก Le Restaurant Monsieur Dior
Restaurant Monsieur Dior นำเสนอเมนูโปรดของมองสิเออร์ ดิออร์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ ซึ่งนอกจากจะเป็นดีไซเนอร์อัจฉริยะแล้ว คริสเตียน ดิออร์ ยังเป็น ‘Gourmand’ หรือนักชิมตัวยงท่านหนึ่งอีกด้วย แบรนด์ดิออร์ได้ส่งต่อความหลงใหลทางด้านอาหารในวัฒนธรรมฝรั่งเศสนี้ผ่านเป็นเมนูอาหารแบบฝรั่งเศสชั้นสูง เป็นความอร่อยแบบสไตล์ปารีเซียงสุดชิคที่ผ่านการออกแบบทั้งรูปและรสมาอย่างประณีต ส่วน La Pâtisserie Dior จะถูกนำเสนอในรูปแบบของร้านอาหารสไตล์คาเฟ่กลางสวน เสิร์ฟเค้กและพาสทรีสไตล์ปารีเซียงที่ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยและรูปลักษณ์ที่สวยเก๋ที่สุดในวัฒนธรรมขนมอบของยุโรป
เมนูอาหารฝรั่งเศสที่ถูกนำมาปรับรูปโฉมใหม่อย่าง New Look , Christian Dior , Granville และของหวานมีดีไซน์ประทับโลโกแบรนด์ L’Etoile Dior
*เครดิตภาพจาก Le Restaurant Monsieur Dior
เมนูของทั้ง Restaurant Monsieur Dior และ La Pâtisserie Dior ได้รับการดูแลภายใต้การทำงานของเชฟชื่อดังชาวฝรั่งเศสอย่าง Jean Imbert ที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ในการรังสรรค์เมนูอาหาร นำเสนอเมนูที่ครีเอทจากความชอบของคริสเตียน ดิออร์มาทำให้ทันสมัย เช่น ครอกเกต์ ‘New Look’ ที่ผสมทรัฟเฟิลลงไป เมนูไข่ลวก ‘Christian Dior’ ที่ทำจากเจลลาตินคาเวียร์ Granville เนื้อปูในอโวคาโดเสิร์ฟพร้อมกับพริกหวานและเกรปฟรุตให้รสชาติแปลกใหม่ หรือจะเป็นเมนูพาสทรี ของหวานน่าสนใจ อย่าง L’Etoile Dior เค้กวนิลาสอดไส้โรยช็อคโกแลตรูปดาว หนึ่งในไอคอนของแบรนด์ และประทับโลโก้สวยงาม หรือจะเป็น Vanilla Flan และ Hazelnut Soufflé เมนูของหวานแบบปารีเซียงสุดคลาสสิคที่ได้รับความนิยมทุกยุคสมัย
การมาเยือนอาณาจักรของ Dior ที่ยิ่งใหญ่อย่าง 30 Montaigne นอกจากจะเลือกซื้อสินค้าแฟชั่นที่ถูกใจ ชมนิทรรศการบอกเล่าความเป็นมาเกี่ยวกับความยิ่งใหญ่ของแบรนด์ อย่าลืมเติมเต็มความประทับใจด้วยการมาชิมอาหารฝรั่งเศสสไตล์ Dior ให้ครบสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
Rate : New Look ราคา EUR36 (ประมาณ 1,395 บาท) Christian Dior ราคา EUR48 (ประมาณ 1,860 บาท) Granville ราคา EUR39 (ประมาณ 1,511 บาท) L’Etoile Dior ราคา EUR20 (ประมาณ 775 บาท) Vanilla Flan ราคา EUR17 (ประมาณ 658 บาท) |
เครดิตภาพซ้ายสุดจาก openrice | ภาพขวา เครดิตภาพจาก Instagram ของ Vivienne Westwood Café
VIVIENNE WESTWOOD CAFÉ
HONG KONG
Address : No.27-47, Paterson Street, Causeway Bay Shop F-8, 1/F Fashion Walk Hong Kong
Open : ทุกวัน เวลา 11.00 – 21.00 น.
วิเวียน เวสต์วูด ดีไซเนอร์หญิงผู้ประยุกต์ความคิดนอกกรอบหัวขบถจากวัฒนธรรมพังก์ร็อคมาสู่วงการแฟชั่นชั้นสูง ไม่ว่าคุณจะชอบสไตล์ที่กล้าบ้าบิ่นของแบรนด์นี้หรือไม่ ก็ไม่สามารถปฎิเสธได้ว่า แบรนด์วิเวียน เวสต์วูดนี้ ไม่เคยหมดความคิดสร้างสรรค์ที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานและมีชีวิตชีวา และเมื่อมาสู่เรื่องของการนำเสนออาหาร แน่นอนว่า Vivienne Westwood Café ก็ไม่มีคำว่าน่าเบื่ออยู่ในนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว โดยคาเฟ่แห่งนี้จัดได้ว่าเป็นร้านดังร้านหนึ่งในห้างสรรพสินค้าแฟชั่นวอล์ค บนถนนคอสเวย์เบย์ ฮ่องกง แถมยังมีเมนูอาหารหน้าตาและสีสันสดใสเหมาะกับการถ่ายภาพลงโซเชี่ยลเป็นอย่างมาก
*เครดิตภาพจาก Instagram ของ Vivienne Westwood Café
โดยร้านจะแบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ตกแต่งแบบศตวรรษที่ 18 และส่วนที่ทำให้ดูเหมือนอยู่ในสตูดิโอภาพยนตร์ ที่นี่จะเสิร์ฟอาหารหมุนเวียนไปตามเทศกาลและฤดูกาลต่าง ๆ มีการนำเอาซิกเนเจอร์ของแบรนด์อย่าง Vivienne Westwood’s orb หรือ Teddy Bear มาตกแต่งในจานอาหารหลายเมนู มาการองที่มีโลโก้แบรนด์ การนำเท็ดดี้แบร์ หรือเซ็ตจานชามดีไซน์มาอย่างดี เป็นรูปแบบของ Fashion แนวกรันจ์ร็อคแบบอังกฤษและ Foodie ที่มาบรรจบกันอย่างลงตัว
*เครดิตภาพจาก Instagram ของ Vivienne Westwood Café
เมนูมีทั้งเครื่องดื่ม อาหารเช้า พาสทรี เค้ก ฯลฯ และแน่นอนว่าการเป็นไฮแบรนด์จากฝั่งอังกฤษ จะขาด เซ็ต Afternoon Tea ไม่ได้เป็นอันขาด โดยจัดมาในเซ็ตเทเบิลแวร์ลายสก็อตซึ่งเป็นหนึ่งในไอคอนหลักของแบรนด์ที่แสดงเอกลักษณ์ความเป็นอังกฤษเข้มข้น ตัวอย่างเมนูน่าสนใจ เช่น เครื่องดื่มช็อคโกแลตอย่าง Oreo-Chocolate ที่อร่อยและถ่ายรูปอย่างไรก็สวย เด่นที่มี Teddy Bear ที่ทำจากช็อคโกแลตเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ตกแต่งแก้ว Vegetarian English Breakfast ที่เป็นเมนูอาหารเช้าแบบอังกฤษซึ่งดัดแปลงทำเป็นแบบวีแกน ซึ่งอาจจะดูย้อนแย้งกับความเป็น meat-lover สไตล์เมนูอังกฤษ แต่ดีสำหรับคนรักสุขภาพรุ่นใหม่สมกับสไตล์แบรนด์ที่คิดนอกกรอบ นอกจากนี้ยังมีเมนูวีแกนให้เลือกอีกมากมาย และอย่าพลาดที่จะชิมความอร่อยและถ่ายรูปอัพโซเชี่ยลกับ Orb Waffle ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของทางร้านเด็ดขาด
Rate : Chocolate Teddy on Oreo-Chocolate ราคา HKD 98 (ประมาณ 443 บาท) Vegetarian English Breakfast ราคา HKD158 (ประมาณ 714 บาท) Banoffyee and Waffle ราคา HKD128 (ประมาณ 578 บาท) Afternoon Tea Set สำหรับ 2 ท่าน ราคา HKD738 (ประมาณ 3,337 บาท)No Reservation
|
*เครดิตภาพจาก Gucci Osteria
GUCCI OSTERIA
FLORENCE
Address :
Open : วันจันทร์ - วันเสาร์ เวลา 10.00 – 20.00 น. และ วันอาทิตย์ เวลา 11.00 - 19.00 น.
Gucci Osteria คือ ร้านอาหารหรูระดับ 1 ดาวมิชลินในเครือกุชชี่ โดยมีคีย์แมนคนสำคัญที่บริหารร้านอาหารคือ เชฟ Massimo Bottura ผู้เคยได้รับมิชลิน 3 ดาวจากร้าน Osteria Francescana อันโด่งดังในเมืองโมเดนา โดยจะนำอาหารแต่ละเมนูเสิร์ฟคู่กับทั้งไวน์อิตาเลียนและไวน์ฝรั่งเศสตามความชอบ ในปัจจุบันแม้จะมีสาขาตามเมืองใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นเบเวอร์ลีส์ ฮิลส์ โตเกียว โซล แต่ร้านหลักที่ฟลอเรนส์คือจิตวิญญาณของแบรนด์กุชชี่อย่างแท้จริง เพราะ ณ ที่แห่งนี้ เป็นต้นกำเนิด House of Gucci อันยิ่งใหญ่นั่นเอง
*เครดิตภาพจาก Gucci Osteria
แนวคิดของร้านคือการนำเสนอเรื่องราวของแบรนด์ Gucci ผ่าน แสง สี จินตนาการ และสัมผัสที่ไม่เหมือนใครในสไตล์ของแบรนด์มาบอกเล่าผ่านอาหาร และบรรยากาศภายในร้าน เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งเป็นคอลเลคชั่นในแบรนด์ ใช้โทนสีเขียวสดและลวดลายนกเป็ดน้ำที่ดูสดใส ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างมาจากจาก Gucci ทั้งหมด ตั้งแต่จานไปจนถึงถังไวน์ แต่ถ้าเป็นห้อง Private Dinner อย่าง Room of Mirror และ Private Function Room ความหรูหราจะถูกยกระดับยิ่งขึ้นไปอีก
เมนูผสมผสานระหว่างเม็กซิโกและญี่ปุ่น Acapulco to Okinanwa , ผักตามฤดูกาลเสิร์ฟกับคาเวียร์บนแป้งโพเลนตา Torta In-Salata , ทาร์ตผลไม้กับไวน์เชอร์เบต Vin Brulè และไอศกรีม Banana Split ในแบบ Gucci Osteria
*เครดิตภาพจาก Gucci Osteria
อาหารจะถูกเสิร์ฟแบบ Tasting Menu รังสรรค์โดย 2 เชฟมากฝีมือและประสบการณ์ คือ เชฟ Karime Lopez และ เชฟ Takahiko Kondo ซึ่งทำงานอยู่ในทีมของเชฟ Massimo Bottura มานาน ซึ่งทั้งคู่ซึ่งไม่ใช่ชาวอิตาเลียนและทำงานครัวมาในหลายประเทศ ได้ใช้ประสบการณ์และมุมมองที่มีอยู่ท้าทายและสร้างความแปลกใหม่ให้กับรูปแบบของอาหารอิตาเลียนแบบเดิมอย่างสร้างสรรค์ ยกตัวอย่างเช่น เมนู From Acapulco to Okinawa ผสมผสานความเป็นเม็กซิกันและญี่ปุ่นของทั้งสองเชฟเข้าด้วยกันเป็นจานปลาคอดปรุงด้วยพริกไทยอชิโอเต้และกรัสโกห่อใบชิโสะย่าง ของหวานอย่าง Vin Brulè ทาร์ตผลไม้รสเข้มข้นรมควัน เสิร์ฟคู่กับเชอร์เบตไวน์ และครีมมาสคาโปเน่ หรือจะเป็น Banana Split แปรรูป เสิร์ฟไอศกรีมวนิลลาพร้อมกับวอลนัทคาราเมลพร้อมเจลโกโก้ ท็อปหน้าด้วยกล้วยและสตรอว์เบอร์รีที่นำมาทำเป็นเส้นเกลียว เป็นประสบการณ์ทางรสชาติที่แปลกใหม่และหรูหราตามสไตล์ของ Gucci
Rate : Tasting Menu 2 คอร์ส ราคา EUR120 (ประมาณ 4,647 บาท Tasting Menu 2 คอร์ส + ของหวาน ราคา EUR 140 (ประมาณ 5,421 บาท) |
*เครดิตภาพจาก The Blue Box by Daniel Boulud
TIFFANY’s THE BLUE BOX CAFÉ by DANIEL BOULUD
NEW YORK
Address : The Landmark 6th Floor, 727 5th Ave, New York
Open : วันจันทร์ - วันเสาร์ เวลา 10.00 – 20.00 น. และวันอาทิตย์ เวลา 11.00 – 19.00 น.
เพิ่ง Re-Open ไปเมื่อปีที่แล้วกับ The Blue Box โฉมใหม่ที่ยังคงคอนเซ็ปต์เฉดสีฟ้าทิฟฟานีตามดีเอ็นเอของแบรนด์เช่นเดิม เพิ่มเติมคือบรรยากาศที่สดใส และดูทันสมัยมากยิ่งขึ้น ตั้งอยู่ใน The Landmark แฟล็กชิปสตอร์ใหญ่ของแบรนด์บนถนนฟิฟธ์ อเวนิว ภายใต้การดูแลของเชฟดาเนียล บูลูด เชฟระดับมิชลินสตาร์ชาวนิวยอร์ค ที่จะผสมผสานเรื่องราวระดับตำนานของแบรนด์ Tiffany & Co.กับการนำเสนออาหารฝรั่งเศสที่มีความประณีตทุกรายละเอียด ภายใต้บรรยากาศสบาย ๆ ไม่เคร่งครัด เหมือนการได้มาผ่อนคลายกับความรื่นรมย์จากอาหารชั้นเลิศ โดยมีทั้งโซน Private Dinning คาเฟ่ และบาร์ไว้คอยบริการหลายรูปแบบ
*เครดิตภาพจาก The Blue Box by Daniel Boulud
ในภาพยนตร์ Breakfast at Tiffany ออเดรย์ เฮพเบิร์น จะมายืนรับประทานครัวซองต์และกาแฟอยู่ด้านหน้าของร้านทิฟฟานี บนถนนฟิฟธ์ อเวนิว ซึ่งเป็นย่านร้านค้าหรูหราของนิวยอร์ค เป็นภาพจำและเป็นชื่อแบรนด์ที่ติดหูของผู้คนทั่วโลก เมื่อนึกถึงแบรนด์เครื่องประดับหรูอันดับต้น ๆ ของโลกแบรนด์นี้ แต่ตอนนี้ ผู้มีความรักในแบรนด์ทิฟฟานีสามารถมานั่งรับประทานอาหารได้ภายในอาคารของแบรนด์ พร้อมกับมื้ออาหารฝรั่งเศสสุดหรูที่เมนูแต่อย่างรายการจะปรับเปลี่ยนไปตามแรงบันดาลใจตามฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็น Breakfast, Afternoon Tea หรือ Dinner ณ คาเฟ่ที่สุดแสนจะมีเสน่ห์แห่งนี้
*เครดิตภาพจาก The Blue Box by Daniel Boulud
สำหรับ Breakfast มีพาสทรีและเบเกอรีหลายชนิดให้เลือก แต่ถ้าจะตามรอยตัวละครฮอลลี่ที่ออเดรย์ เฮพเบิร์นเล่นไว้ใน Breakfast at Tiffany แน่นอนว่าทางร้านได้จัดเป็นเซ็ตเตรียมไว้ให้นักชิมอย่างพร้อมสรรพ ด้วยเซ็ต Holly's Favourite มีทั้งครัวซองต์ แยม น้ำผลไม้สด ชา กาแฟ หรือ ช็อคโกแลตร้อน แต่ถ้ามาไม่ทันมื้อเช้า จะรับ Afternoon Tea ของที่นี่ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก เพราะเซ็ต Tea at Tiffany’s ได้รับยกย่องว่าเป็นThe best Afternoon tea ของนิวยอร์คจากนิตยสารโว้คไปเมื่อช่วงต้นปีนี้เอง และยังมี Seasonal Menu ที่จะเปลี่ยนเมนูไปตามฤดูกาล และของหวานที่ผ่านการคัดสรรวัตถุดิบและตกแต่งหน้าตาให้ดูสวยหรู ราวกับงานศิลปะที่น่าลิ้มลอง
Rate : Holly’s Favourite ราคา USD34 (ประมาณ 1,205 บาท) / Tea at Tiffany’s ราคา USD 98 (ประมาณ 3,473 บาท) |
นี่คือ ร้านอาหาร และ คาเฟ่จากเหล่าแบรนด์ดังแห่งวงการแฟชั่นระดับโลก ที่ The Explorer อยากให้ทุกท่านได้ เปิดประสบการณ์ที่แปลกใหม่ในการเสพย์สุนทรียภาพลักซูรี่ สัมผัสกับความอร่อยจากเมนูสุดหรูที่ต้องลองสักครั้ง