เมื่อพูดถึงคำว่า “โสด” สำหรับบางคน มองว่าเป็นเรื่องธรรมดาของคนสมัยนี้ ไม่จำเป็นต้องมีคู่ มีแฟน หรือมีครอบครัว อยู่ตัวคนเดียวได้สบายใจ ทำให้เมื่อพูดถึงการทำประกันชีวิตกับคนโสด ที่ไม่มีคู่สมรส ลูก หรือคนที่ต้องดูแล หลายคนจึงคิดว่า ไม่มีความจำเป็น แต่แท้จริงแล้ว คนโสดไม่จำเป็นต้องทำประกันชีวิตจริงหรือไม่ บทความนี้มีคำตอบ
แม้คนโสดจะไม่ได้มีคู่สมรสหรือลูกก็จริง แต่ก็ยังมีความจำเป็นต้องทำประกันชีวิต หากมีความต้องการดังนี้
- เป็นเสาหลักครอบครัว มีคนต้องดูแล
คนโสดหลายคนยังมีพ่อแม่ที่ต้องดูแล ซึ่งหากลองนึกดี ๆ แล้ว เมื่อเราเข้าสู่วัยทำงาน พ่อแม่ก็เริ่มเข้าสู่วัยเกษียณ วัยชรา หรืออาจมีญาติพี่น้องที่ต้องพึ่งพาเรา หากวันหนึ่งมีการจากไปของตัวเราซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัว จะส่งผลกระทบต่อการเงินหรือชีวิตความเป็นอยู่ของคนรอบข้างอย่างไรบ้าง ดังนั้นการทำประกันชีวิตก็ถือเป็นเรื่องจำเป็น
สำหรับรูปแบบประกันชีวิตที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการเน้นความคุ้มครอง คือ "ประกันแบบตลอดชีพ" ซึ่งเบี้ยประกันไม่สูงนักเมื่อเทียบกับความคุ้มครองที่ได้รับ หากมีเหตุทำให้เราต้องจากไปก่อนวัยอันควร คนที่เรารักหรืออยู่ในอุปการะจะสามารถใช้ชีวิตต่อไปอย่างไม่ลำบากนัก เช่น ประกันชีวิตที่คุ้มครองถึงอายุ 99 ปี จ่ายเบี้ย 9 ปี หากทุนประกันอยู่ที่ 1 แสนบาท เบี้ยประกันสำหรับคนอายุ 35 ปี จะอยู่ที่ปีละประมาณ 3,700 - 4,500 บาท
ต้องยอมรับว่า คนโสดไม่ได้มีลูกมาคอยดูแล เมื่อแก่ตัวไปจึงจำเป็นต้องดูแลตัวเอง เว้นแต่ว่าจะมีหลาน ๆ ซึ่งก็ไม่สามารถคาดเดาอนาคตได้ หลาน ๆ ก็อาจมีภาระที่ต้องทำมากมาย เพราะฉะนั้น จึงต้องเตรียมเก็บเงินพึ่งตัวเอง หรือวางแผนหลังเกษียณให้ดี
การเก็บเงินเกษียณ สามารถลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น หุ้น ตราสารหนี้ กองทุนรวม และนอกจากการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ แล้ว การทำประกันก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยตอบโจทย์การวางแผนเกษียณได้ โดยเบี้ยที่จ่ายในแต่ละปี ก็จะเป็นการสะสมเงินไว้ใช้จ่ายในอนาคต
นอกจากนี้ "ประกันแบบสะสมทรัพย์" จะเหมาะกับผู้ที่ต้องการรับเป็นเงินก้อนเมื่อครบสัญญา โดยแนะนำให้เลือกระยะเวลารับเงินก้อนให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่จะเกษียณอายุ แต่หากต้องการรับเป็นเงินรายงวดสม่ำเสมอหลังเกษียณ จะเหมาะกับ "ประกันแบบบำนาญ" โดยบริษัทจะเริ่มจ่ายเงินเมื่อผู้ทำประกันมีอายุถึงเกณฑ์ที่กำหนด และจ่ายตามจำนวนงวดหรืออายุของผู้ทำประกันที่ระบุไว้ เช่น ประกันบำนาญ จะเริ่มจ่ายเงินทุกปีเมื่อผู้ทำประกันมีอายุครบ 60 ปี ถึงอายุ 90 ปี ถ้าต้องการเงินบำนาญใช้หลังเกษียณปีละ 1 แสนบาท จะต้องเริ่มทำประกันเมื่ออายุ 35 ปี จะจ่ายเบี้ยปีละประมาณ 49,000 - 53,000 บาท
สำหรับผู้ที่มีรายได้ถึงเกณฑ์เสียภาษี เมื่อต้องการประหยัดภาษี นอกจากการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) แล้ว การทำประกันก็เป็นทางเลือกหนึ่งในการลดหย่อนภาษี โดยเลือกแบบที่มีความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ซึ่งการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากประกันชีวิต จะเป็น 2 ส่วน
- ส่วนแรก เบี้ยประกันชีวิตแบบทั่วไป สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 1 แสนบาท
- ส่วนที่สอง เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถลดหย่อนภาษีได้เพิ่มอีก 2 แสนบาท แต่วงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด 2 แสนบาทของเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญนั้น ต้องไม่เกิน 15% ของรายได้ทั้งปีที่เสียภาษี และเมื่อรวมกับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ต้องไม่เกิน 5 แสนบาท
สุดท้ายนี้จะเห็นได้ว่า แม้จะเป็นคนโสด ก็ยังมีความจำเป็นต้องทำประกันชีวิต ทั้งนี้ต้องเช็กด้วยว่าตัวเรามีความคุ้มครองด้านสุขภาพแล้วหรือยัง ทั้งสวัสดิการจากที่ทำงาน หรือสวัสดิการจากภาครัฐ ถ้าไม่มี หรือมีไม่เพียงพอ อาจทำประกันอุบัติเหตุ ประกันสุขภาพ หรือประกันโรคร้ายแรงเพิ่มเติมด้วย เพราะความเสี่ยงของคนเราไม่ได้มีเพียงการเสียชีวิตเท่านั้น โดยหากเจ็บป่วย หรือเกิดอุบัติเหตุ ย่อมมีค่าใช้จ่ายตามมา ถ้าไม่มีลูกหลานช่วยจ่าย ค่ารักษาพยาบาลคงกระทบเงินในกระเป๋าอย่างแน่นอน ลองเช็กดูว่า ตัวเรามีความจำเป็นต้องทำประกันหรือไม่ แล้วจึงเลือกแบบประกันให้เหมาะสม