• ตลาดการเงินโดยรวมค่อนข้างผันผวนทั้งในตลาดพัฒนาแล้วอย่าง สหรัฐอเมริกา ยุโรป และ ตลาดกำลังพัฒนาในโซนเอเชีย หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นมาแตะระดับ 3.20% 

• ตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวนจากประเด็นการตอบโต้ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และ จีน การปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหัฐอายุ 10 ปี และ ปรับตัวลดลงตามตลาดภูมิภาค อย่างไรก็ดี พื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังค่อนข้างอยู่ในระดับที่ดี

• ตลาดยุโรป ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นหลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ส่งสัญญาณที่จะยุติมาตราการ QE ในช่วงปลายปี และ มีความกังวลเกี่ยวกับเจรจาต่อรองของ EU ในการจัดทำร่างงบประมาณเกินดุลของอิตาลี

• จีนในไตรมาสล่าสุด 3Q18 ขยายตัวที่ 6.5% ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เล็กน้อยที่ 6.6% โดยเศรษฐกิจจีนในช่วงครึ่งปีหลังจะชะลอตัวเนื่องจากปัจจัยเรื่องสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ที่ยังไม่สามารถเจรจาได้เข้ามากดดัน 

• ผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน LTF สามารถทยอยลงทุนได้

     ในเดือนที่ผ่านมาตลาดการเงินโดยรวมค่อนข้างผันผวนทั้งในตลาดพัฒนาแล้วอย่าง สหรัฐอเมริกา ยุโรป และ ตลาดกำลังพัฒนาในโซนเอเชีย หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นมาแตะระดับ 3.20% ตลาดสหรัฐฯ เป็นช่วงฤดูกาลประกาศงบกำไรไตรมาส 3 ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ประกาศงบผลประกอบการออกมาได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ เช่น หุ้นในกลุ่มธนาคารและกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย อย่างไรก็ตาม ยังมีสัญญาณการตึงตัวของตลาดแรงงานรายงานตำแหน่งงานว่างประจำเดือนสิงหาคม 2018 ยังคงปรับเพิ่มสูงนึ้ โดยในเดือนนี้อยู่ที่ระดับ 7.14 ล้านตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ที่ระดับ 6.90 ล้านตำแหน่ง ข้อมูลยอดขายบ้านใหม่ในเดือน กันยายนของสหรัฐฯ ลดลงแตะระดับเกือบต่ำสุดในรอบ 2 ปี สะท้อนอุปสงค์และความเชื่อมั่นภาคครัวเรือนที่อ่อนแอลง ทำให้ตลาดมีความกังวลว่า ดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นกำลังส่งผลกระทบกดดันกำลังซื้อบ้านของสหรัฐฯ

ด้านตลาดยุโรป ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นหลังจาก ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังส่งสัญญาณที่จะยุติมาตรการ QE ในช่วงปลายปี และ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการเจรจาต่อรองของ EU ในการจัดทำร่างงบประมาณของอิตาลีเนื่องจาก รัฐบาลอิตาลีต้องการเพิ่มจำนวนตัวเลขขาดดุลงบประมาณสู่ระดับ 2.4% ของ GDP ในปีหน้า สำหรับ Brexit นายกรัฐมนตรีอังฤษ เทเรซา เมย์ ได้แสดงความพร้อมที่จะยืดเวลาการเจรจาทางการค้าออกไปอีกจากเดิมจะสิ้นสุดภายในเดือนมีนาคม 2019 ขณะที่ภาคประชาชนมีการชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้มีการจัดลงประชามติใหม่รอบที่ 2 

สำหรับตัวเลข GDP ของประเทศจีนในไตรมาสล่าสุด ไตรมาสที่ 3 ปี 2018 ขยายตัวที่ 6.5% ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เล็กน้อยที่ 6.6% โดยเศรษฐกิจจีนในช่วงครึ่งปีหลังจะชะลอตัวเนื่องจากปัจจัยเรื่องสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ที่ยังไม่สามารถเจรจาได้เข้ามากดดัน อย่างไรก็ดี ทางรัฐบาลจีนได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อลดแรงต้านทานจากประเด็นการค้ากับสหรัฐฯ เช่น นโยบายลดภาษี การเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และ การผ่อนคลายสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลงอีก เพื่อเป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้กับธนาคารพาณิชย์ ในไตรมาสที่ 4  เราอาจจะคงเห็นการอ่อนแรงของเศรษฐกิจจีนอยู่เนื่องจากยังไม่สามารถหาข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ได้

     ตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวนจากประเด็นการตอบโต้ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และ จีน การปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี ที่ระดับ 3.20% และ ปรับตัวลดลงตามตลาดทั่วโลก อย่างไรก็ตามปัจจัยพื้นฐานในประเทศยังคงไม่ได้รับผลกระทบและได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย นโยบายภาครัฐและการเลือกตั้งในปีหน้า