THE PREMIER Next ISSUE 62 : AUGUST 2022

THE PREMIER Next ISSUE 62 : AUGUST 2022

เปลี่ยนวิกฤต “เงินเฟ้อพุ่ง-ดอกเบี้ยสูง” เป็นโอกาสทองของนักลงทุน


 

ทุกวันนี้ราคาสินค้า และ บริการต่าง ๆ มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันที่จำนวนเงินเท่าเดิมที่คุณเคยจ่าย แต่ปริมาณน้ำมันที่ได้รับนั้นกลับได้น้อยลง อันเป็นผลมาจากสถานการณ์เงินเฟ้อซึ่งเป็นปัญหาที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน โดยมีสาเหตุมีจากหลากหลายปัจจัยที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น


 


    • สงครามระหว่างรัสเซีย – ยูเครน ที่ยังคงยืดเยื้อมาอย่างต่อเนื่อง และ ส่งผลกระทบอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาของน้ำมันดิบ
    • ราคาพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่สืบเนื่องจากการที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น
    • ปัญหาขาดแคลนอุปทานของอาหาร และ พลังงาน
    • สถานการณ์ COVID-19 ที่ยังคงไม่คลี่คลาย
    • สภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวตั้งแต่การมาของการแพร่ระบาดของ COVID-19

 
ซึ่งในไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมานี้หลาย ๆ ประเทศทำสถิติตัวเลขเงินเฟ้อสูงที่สุดในรอบหลายปี ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา, ยุโรป รวมไปถึงประเทศไทยเองก็สูงที่สุดในรอบ 13 ปี และ จะยังสูงอย่างต่อเนื่องไปในไตรมาสที่ 3 นี้ด้วย

 


 
ทั่วโลกกังวลสภาวะเศรษฐกิจถดถอย

 
มุมมองนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าเงินเฟ้อสหรัฐฯ น่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว แต่ยังคงไม่มีทีท่าที่จะลดลงรวมไปถึง IMF เองก็มีความเห็นว่าเงินเฟ้อครั้งนี้จะอยู่สูงนานกว่าที่คาดไว้

 
ด้วยเหตุนี้ทำให้ทั่วโลกเกิดความกังวลว่าตลาดโลกจะเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอย และส่งผลให้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเริ่มผ่อนคลายเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยคาดการณ์ไว้ว่าจะเริ่มใช้ในช่วงกลางปี 2023 ที่จะถึงนี้

 


 
เตรียมรับมือภาวะเศรษฐกิจถดถอย

 
ภาคครัวเรือนต้องหมั่นเก็บออม งดก่อหนี้ ไม่ทำอะไรเกินตัว เพื่อให้พร้อมรับมือกับเศรษฐกิจโลกในยุคที่เสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เริ่มมีสัญญาณมาเป็นระยะ จากดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจต่างๆ เช่น
    • เตรียมเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินในภาวะวิกฤตอย่างน้อย 6 - 12 เดือน
    • บันทึกรายรับ-รายจ่าย ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและหารายได้เพิ่ม
    • บริหารหนี้จัดลำดับความสำคัญ เพื่อไม่ให้ตึงตัวจนเกินไป อาจปรึกษาสถาบันการเงินให้ความช่วยเหลือ
    • วางแผนการลงทุนที่มีให้เหมาะสมกับสถานการณ์

 

ยุคเงินเฟ้อสูง บริหารเงินลงทุนอย่างไรดี

 
ในสถานการณ์ที่เงินเฟ้อสูง และ สภาวะเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะก้าวเข้าสู่ช่วงของการถดถอยเช่นนี้ กลยุทธ์การลงทุนที่ดูจะเหมาะสม คือ การจำกัดความเสี่ยง และ หาโอกาสการลงทุนในประเทศที่ยังแข็งแกร่ง มีแนวโน้มที่จะสร้างผลตอบแทนได้ดี โดยมีแนวทางการลงทุน ดังนี้

 
1. ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น
การลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยไม่ยาวนัก Duration ไม่เกิน 2 ปี เพื่อเป็นการลดความผันผวนของราคา และยังได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการออมทรัพย์ในระยะยาว

 


 
2. ลงทุนในประเทศที่มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และ อัตราเงินเฟ้อต่ำ
ประเทศจีน เริ่มผ่อนคลายมาตรการในหลาย ๆ ธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเทคโนโลยี ทำให้ตลาดหุ้นจีนมีการปรับตัวสูงขึ้นประกอบกับปัจจัยเชิงบวกอื่น ๆ ที่ทำให้เป็นประเทศที่น่าสนใจในการลงทุน
    • นักลงทุนต่างคาดการณ์เศรษฐกิจในปีนี้มีโอกาสโตได้ถึง 5.5%
    • ธนาคารกสิกรไทยคาดการณ์เงินเฟ้อทั้งปีอยู่ในระดับต่ำที่ 2.2%
    • นักวิเคราะห์ของโกลด์แมนแซคส์คาดว่าจะมีการใช้จ่ายภาคครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น 4.5%

 
ประเทศญี่ปุ่น มีการเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง และ จากการคาดการณ์ปัจจัยบวกต่าง ๆ ที่ส่งผลให้เป็นหนึ่งในประเทศที่น่าจับตามองในการลงทุน
    • ธนาคารกสิกรไทยคาดการณ์เงินเฟ้อทั้งปีอยู่ในระดับต่ำที่ 2.5
    • ธนาคารกลางแห่งประเทศญี่ปุ่น (Bank of Japan : BOJ) มีการคงดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำ
    • การอ่อนค่าของเงินเยน ส่งผลบวกต่อกำไรหุ้นญี่ปุ่น
    • ค่าเงินที่อ่อนลง ส่งผลทำให้การท่องเที่ยวเริ่มกลับมา หลังจากการเปิดประเทศ

 


 
กระจายความเสี่ยงเพื่อป้องกันเงินเฟ้อในสินทรัพย์ทางเลือก

 
แม้ราคาทองคำจะถูกกดดันจากเงินเฟ้อ และ ดอกเบี้ยขาขึ้น แต่ด้วยความกังวลจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยทำให้การลงทุนในทองคำยังคงเป็นที่น่าสนใจอยู่
    • แนะนำให้ลงทุนสัดส่วน 5 – 10% ของพอร์ต เพื่อกระจายความเสี่ยง
    • ไม่แนะนำการเก็งกำไรระยะสั้น เนื่องจากมุมมองการลงทุนในทองคำของกสิกรไทย มองกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีทองคำในปี 2565 เอาไว้ที่ 1,820 – 1,920 จุด

 
อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังควรติดตามตัวเลขเศรษฐกิจ ดัชนีที่สำคัญ เช่น อัตราการว่างงาน , การจ้างงานฯ , ดัชนีราคาผู้บริโภค , ดัชนียอดคำสั่งซื้อใหม่ภาคการผลิต , ทิศทางนโยบายการเงินของทางสหรัฐฯ ช่วงปลายปีนี้หากตัวเลขเงินเฟ้อยังคงสูงจะกดดันภาพรวมการลงทุน การปรับพอร์ตกำหนดสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมตามระยะเวลาที่ลงทุนจะช่วยลดความเสี่ยงและความผันผวนจะทำให้มีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีขึ้นหลังสิ้นสุดวิกฤต

 
กองทุนแนะนำที่เกี่ยวข้อง
K-CHINA-A
กองทุนเปิดเค ไชน่า หุ้นทุน

 
อ่านรายละเอียดกองทุน
ซื้อกองทุนง่าย ๆ บน KPLUS



ทำไมต้องเลือก K-CHINA-A จากกสิกรไทย
    • ลงทุนผ่านกองทุนหลัก JPMorgan Funds – China Fund, Class JPM China I (acc) - USD
    • ลงทุนในหุ้นจีนที่จดทะเบียนในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก (All China) ที่มีคุณภาพดี เติบโตสูง เน้นหุ้นกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) เช่น กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ กลุ่มอุปโภคบริโภค และ สุขภาพ
    • ตลาดหุ้นจีนเริ่มมีทิศทางดีขึ้น มีปัจจัยหนุนจากการที่รัฐบาลแสดงความพร้อมที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจ มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเรื่อยๆ รวมถึงการผ่อนคลายล็อกดาวน์เซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง
    • ธนาคารประชาชนจีน (ธนาคารกลางของสาธารณะรัฐประชาชนจีน)สามารถใช้นโยบายทางการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ซึ่งแตกต่างจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลกที่ใช้นโยบายทางการเงินที่ตึงตัวมากขึ้น
    • ในแง่ระดับราคาหุ้นจีน ได้ปรับตัวลงมาตอบรับข่าวร้ายไปมากแล้ว จนลงมาอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว และ ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าตลาดหุ้นหลักอื่น ๆ ของโลก
    • เป็นโอกาสดีสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่จะทยอยสะสมและน่าจะเห็นการฟื้นตัวที่ดีได้เมื่อรัฐบาลส่งสัญญาณพร้อมฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ชัดเจน

 
เหมาะสำหรับใคร
    • คาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนในจีน
    • รับความผันผวนของราคาหุ้นที่อาจปรับตัวสูงขึ้นหรือลดลงจนทำให้ขาดทุนได้
    • ยอมรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
    • สามารถลงทุนได้ตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป

 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก KAsset

 
Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน”

บทความโดย
K-Expert กานต์พิชชา แดงพิบูลย์สกุล
ฝ่ายพัฒนาการให้คำปรึกษาลูกค้า

 
อ้างอิง