15 ก.ย. 65 กองทุน US Advantage Fund ซึ่งเป็นกองทุนหลักของ K-USA ปรับตัวเพิ่มขึ้น +3.81% เทียบกับวันก่อนหน้า ขณะที่ตลาดหุ้นหลักของสหรัฐฯ ทั้ง 3 ตลาด ปิดลบเพียงเล็กน้อย โดยดัชนี Nasdaq -1.43% S&P500 -1.13% และ Dow Jones -0.56% เทียบกับวันก่อนหน้า แต่ในวันรุ่งขึ้น (16 ก.ย.) กองทุน US Advantage Fund ปรับตัวลง -6.38% เทียบกับวันก่อนหน้า ซึ่งปรับตัวลงแรงกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลงเพียง 0.45%-0.90%เทียบกับวันก่อนหน้า
ส่วนกองทุน Invesco DB Oil Fund ซึ่งเป็นกองทุนหลักของ K-OIL ณ 15 ก.ย. 65 ปรับตัวลดลง -3.97% เทียบกับวันก่อนหน้า ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 3.38 ดอลลาร์ หรือ 3.8% ปิดที่ 85.10 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งถือเป็นระดับปิดต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 8 ก.ย. 65
นอกจากนี้ กองทุน K-EUROPE และ K-CLIMATE ราคาก็ปรับตัวลงเช่นกัน จากความกังวลตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน ส.ค.ที่ออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาด โดยกองทุน K-EUROPE ณ 14 ก.ย. 65 ราคาปรับตัวลง -3.38% เทียบกับวันก่อนหน้า และในวันที่ 16 ก.ย. 65 กองทุน Allianz Europe Equity Growth ซึ่งเป็นกองทุนหลักของ K-EUROPE ราคาปรับตัวลง -4.09%เทียบกับวันก่อนหน้า ส่วนกองทุน K-CLIMATE ณ 13 ก.ย. 65 ราคาปรับตัวลง -3.13% เทียบกับวันก่อนหน้า
ในขณะที่กองทุนตราสารหนี้อย่างกองทุน K-FIXEDPLUS ณ 15 ก.ย. 65 ราคาปรับตัวลง -0.58% เทียบกับเดือนก่อนหน้า ส่วนกองทุนผสมอย่างกองทุน K-GA ราคาปรับตัวลง -5.24% เทียบกับเดือนก่อนหน้า
การเปลี่ยนแปลงราคากองทุนหลักของ K-USA และ K-OIL ณ 15 ก.ย. 65 ดังกล่าว ส่งผลให้ราคากองทุน K-USA ณ 15 ก.ย. 65 +4.17% และกองทุน K-OIL -4.11% เทียบกับวันก่อนหน้า ส่วนราคากองทุน K-USA และ K-EUROPE ณ 16 ก.ย. 65 ที่คาดว่าจะประกาศคืนวันที่ 19 ก.ย. 65 จะปรับตัวลงสอดคล้องกับกองทุนหลักเช่นกัน
ทำไมกองทุน K-USA ถึงผันผวนกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ
หากพิจารณาหุ้น 10 อันดับแรก ที่กองทุนหลักของ K-USA ลงทุนมากที่สุด ณ 31 ส.ค. 65 คิดเป็นสัดส่วนรวม 60.03% ของมูลค่ากองทุน พบว่า ณ 15 และ 16 ก.ย. 65 ส่วนใหญ่ราคาปรับตัวลง โดยมีรายละเอียดตามตารางด้านล่าง
จากตารางพบว่า ณ 15 ก.ย. มีอยู่ 9 หุ้น จาก 10 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนรวม 52.67% ของมูลค่ากองทุน ที่ราคาปรับตัวลงเทียบกับวันก่อนหน้า โดยมีเพียง 1 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 7.36% ของมูลค่ากองทุน ที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นเทียบกับวันก่อนหน้า ได้แก่ Uber Technologies Inc และ ณ 16 ก.ย. มีอยู่ 9 หุ้นจาก 10 หุ้นที่ราคามีการปรับตัวลง โดยหุ้นที่ราคาปรับตัวลงมากที่สุด ได้แก่ Roblox Corp
ทั้งนี้ เนื่องจากกองทุน K-USA เป็นกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนแบบเชิงรุก (active management) จึงมีความผันผวนสูง และราคาสามารถปรับขี้นลงได้แรงกว่า หรือขึ้นลงในทิศทางที่ตรงข้ามกับดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้
ตัวอย่างเช่น 15 ก.ย. ที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลง แต่กองทุน K-USA กลับปรับตัวบวกทั้งที่หุ้น 10 ลำดับแรกส่วนใหญ่ปรับตัวลง นั่นเพราะหุ้นที่อยู่นอกเหนือจากนั้นที่มีสัดส่วนการลงทุนประมาณ 40% ส่วนใหญ่อาจปรับตัวขึ้นสวนทางกับหุ้น 10 ลำดับแรก
ส่วนวันที่ 16 ก.ย. หุ้น 10 ลำดับแรก ก็มีการปรับตัวลงแรงกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำให้ราคากองทุนหลักของ K-USA ปรับตัวลงแรงเช่นกัน
ดังนั้น นักลงทุนควรหมั่นติดตามข้อมูลข่าวสาร อัปเดตสถานการณ์การลงทุนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนอย่างมีสติ ลงทุนด้วยความระมัดระวังในภาวะที่ตลาดมีความผันผวนสูง
ซึ่งที่ผ่านมา 1 เดือน นอกจากส่งผลต่อกองทุนที่เน้นลงทุนหุ้นสหรัฐฯ เช่น K-USA, K-US500X, K-USXNDQ ปรับตัวลงประมาณ 8%-13% แล้ว ยังส่งผลต่อกองทุนผสมและกองทุนหุ้นที่มีการลงทุนต่างประเทศ ซึ่งมักมีการลงทุนบางส่วนในหุ้นสหรัฐฯ เช่น K-FITL, K-FITXL, K-GINCOME, K-GA, K-GPROP ก็มีการปรับตัวลงเช่นกัน
ทำไมกองทุน K-OIL ถึงปรับตัวลดลง
กองทุน Invesco DB Oil Fund ซึ่งเป็นกองทุนหลักของ K-OIL เป็นกองทุนอีทีเอฟที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งมีนโยบายลงทุนในสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้าเวสต์เท็กซัส (WTI)
โดยสาเหตุที่สัญญาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงกว่า 3% นั้น เนื่องจากตลาดถูกกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงความกังวลเรื่องการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) และธนาคารกลางทั่วโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่อาจมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยมากขึ้น และทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลง
ทำไมกองทุนตราสารหนี้ถึงปรับตัวลดลง
สาเหตุที่กองทุนตราสารหนี้ระยะยาวที่มีการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ อย่างกองทุน K-FIXED, K-FIXEDPLUS มีการปรับตัวลดลงในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากโดยปกติราคาตราสารหนี้มีการปรับตัวขึ้นลงตามการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยในตลาด
ดังนั้น เมื่อธนาคารกลางทั่วโลก อย่างธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยแรงในการประชุมที่ผ่านมา จึงส่งผลกระทบต่อราคาตราสารหนี้ ทำให้ราคาตราสารหนี้ปรับตัวลดลง
เนื่องจากตราสารหนี้ที่ออกใหม่มีโอกาสให้ดอกเบี้ยที่สูงกว่า ตราสารหนี้เดิมที่มีอยู่ในตลาดจึงมีความน่าสนใจน้อยลง แต่หากสามารถถือลงทุนได้นานกว่าอายุเฉลี่ยของตราสาร เช่น กองทุน K-FIXED และกองทุน K-FIXEDPLUS อยู่ที่ 2 ปี 10 เดือน (ข้อมูล ณ 27 ก.ค. 65) ก็มีโอกาสสูงที่ราคากองทุนตราสารหนี้จะกลับมาเป็นบวกจากดอกเบี้ยและเงินต้นที่กองทุนทยอยได้รับคืนจากตราสารหนี้ที่ลงทุน
สถานการณ์อื่น ที่น่าสนใจ
ตลาดหุ้นจีนที่ผ่านมามีการปรับตัวลง โดยเฉพาะเมื่อวันศุกร์ที่ 16 ก.ย. หลังจากที่รัฐบาลจีนเรียกร้องให้บริษัทหลักทรัพย์ปรับลดค่าธรรมเนียมการให้บริการกับภาคธุรกิจ เพื่อที่จะช่วยสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ประกอบกับจีนยังคงมีมาตรการเข้มงวดควบคุมโควิด-19 เช่น การล็อกดาวน์ ฯลฯ
ประเด็นน่าติดตาม
คือ เศรษฐกิจของจีน หลังเมืองเฉิงตู ซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลเสฉวนของจีน ประกาศยุติการล็อกดาวน์ วันที่ 19 ก.ย. ทำให้ประชาชน 21 ล้านคนของเมืองนี้สามารถเดินทางออกจากบ้านและกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกครั้ง รวมถึงการแถลงของธนาคารกลางจีนที่เกิดขึ้นวันที่ 20 ก.ย. ว่าจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมหรือไม่?
มุมมองการลงทุน
ธนาคารโลกได้ออกรายงานเตือนว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าใกล้ภาวะถดถอยเนื่องจากธนาคารกลางทั่วโลกกำลังปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ ซึ่งจากรายงานเปิดเผยว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ จีน และยูโรโซน ชะลอตัวลงอย่างรุนแรง และเศรษฐกิจโลกอาจจะเผชิญกับภาวะถดถอยได้ในปีหน้า
FedWatch Tool ของ CME Group ชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 80% ที่ FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.00-3.25% ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. นี้ และให้น้ำหนัก 20% ที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00% ซึ่งหาก FED ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในเดือน ก.ย.จะเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3
คำแนะนำการลงทุน
● ผู้ที่ถือกองทุนหุ้นสหรัฐฯ เช่น K-USA, K-USXNDQ, K-US500X อยู่ แนะนำให้ถือต่อและรอประเมินสถานการณ์ทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชัดเจน ส่วนผู้ที่ต้องการลงทุนเพิ่ม ยังไม่แนะนำให้ลงทุนตอนนี้