ด้วยปี 2565 ที่ยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนจากไวรัสกลายพันธุ์ Omicron ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ออกเป็น 2 กรณีด้วยกัน
1. กรณีดี Omicron ไม่รุนแรง กิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวสามารถเดินหน้าต่อได้โดยไม่สะดุด หากเป็นกรณีนี้คาดว่าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัว 3.7%
2. กรณีแย่ Omicron รุนแรง มีการยกระดับความเข้มงวดของการเดินทาง หรือภาครัฐมีการจำกัดกิจกรรมเพื่อควบคุมการระบาด การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวหยุดชะงัก คาดว่าเศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวเหลือ
2.8%
ทั้งนี้ ไม่ว่าเป็นกรณีดีหรือกรณีแย่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เชื่อว่าการขยายตัวที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจไทย เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่อาจเติบโตเพียง 1.0% นั้น จะส่งผลให้ทิศทางของธุรกิจไทยในปีนี้น่าจะมีแนวโน้มฟื้นตัวในด้านยอดขาย
เพียงแต่การฟื้นตัวของแต่ละธุรกิจจะมีความแตกต่างกันไป
นอกจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ Omicron ยังคงมีอีก 2 ตัวแปรหลัก คือ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ และทิศทางค่าเงินบาท ที่ต้องเร่งปรับตัวเพื่อรับมือ
จำนวนนักท่องเที่ยว : สิ่งที่ต้องจับตาคือ นักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเป็นรายใหญ่ถึง 1 ใน 3 ของไทย (11 ล้านคนในปี 2562) เนื่องจากรัฐบาลจีนยังคงเข้มงวดต่อการเดินทางออกนอกประเทศ
และการแพร่ระบาดของสายพันธุ์ Omicron ไม่ได้ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยอาจฟื้นตัวมาแตะ 4 ล้านคน
ทิศทางค่าเงินบาท : ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ค่าเงินบาทปี 2565 อาจแกว่งตัวในกรอบที่กว้างขึ้น จากความเสี่ยง ทั้งในด้านของทิศทางนโยบายการเงินของเฟด ที่อาจพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายมากกว่าที่ได้ส่งสัญญาณไว้
ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยน่าจะยังมีความจำเป็นที่จะต้องคงดอกเบี้ยในระดับต่ำ เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้ช่องว่างระหว่างดอกเบี้ยไทยกับดอกเบี้ยสหรัฐฯ อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เงินทุนไหลออกจากประเทศไทย
และส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลงกว่าเดิมได้
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของปัจจัยพื้นฐานในประเทศ หากการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบอย่างมากจากการระบาดของ
Omicron ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยอาจขาดดุลต่อเนื่องไปอีกปี และจะเป็นอีกปัจจัยที่กดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงกว่าเดิมได้ ซึ่งการที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงจะยิ่งไปเร่งให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นผ่านทางต้นทุนสินค้านำเข้า
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในไทย
เปิดโผธุรกิจดาวรุ่ง รับทรัพย์ตลอดปี
1. บริการสุขภาพ จากการที่คนหันมาใส่ใจสุขภาพจากการระบาดของโควิด-19 มากขึ้น ส่งผลให้บริการด้านสุขภาพจะเติบโตอย่างต่อเนื่องนั่นเอง
2. อิเล็กทรอนิกส์ ความต้องการอุปกรณ์ไอทีต่างๆ ที่สอดรับไปกับวิถีการทำงานแบบไฮบริด หรือทำงานจากที่ใดก็ได้ ส่งผลให้ธุรกิจในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์มีแนวโน้มเติบโตได้ดี
3. อาหาร เป็นกลุ่มสินค้าและบริการที่จำเป็นต้องการดำรงชีพ จึงเป็นอีกกลุ่มธุรกิจที่ยังคงขยายตัวได้ดี แต่อาจต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากผู้เล่นในตลาดที่มีจำนวนมาก
เฝ้าระวังธุรกิจ ความเสี่ยงสูง
ในทางกลับกัน จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น ทำให้มี 4 กลุ่มธุรกิจที่อาจจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงสูง
1. ค้าปลีก ความเปราะบางของกำลังซื้อผู้บริโภค เพราะค่าครองชีพและหนี้ครัวเรือนที่สูง ประกอบกับความไม่มั่นคงด้านรายได้และการมีงานทำ
2. โรงแรม ยังขึ้นอยู่กับตัวแปรที่ควบคุมไม่ได้ นั่นคือ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ
3. ที่อยู่อาศัย เป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูง การตัดสินใจซื้อหรือลงทุนจำเป็นต้องมีความพร้อมในการชำระเงินกู้
4. รถยนต์ เป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงต่อการตัดสินใจซื้อ
แนะวิธีคืนชีพ 3 ธุรกิจโดนโควิด-19 ถล่มหนัก
โรงแรม
- เน้นตลาดไทยเที่ยวไทย โดยมีจุดประสงค์ของการเข้าพักที่หลากหลายขึ้น เช่น Workation, Staycataion
- ใช้สื่อออนไลน์และช่องทางโซเชียลมีเดียในการทำการตลาดตรงกับลูกค้า
- ปรับสถานประกอบการให้เข้าเกณฑ์ Safety and Health Administration (SHA, SHA Plus)
- ปรับห้องพักและสิ่งอำนวยความสะดวกในโรงแรมให้เข้ากับวิถีการใช้ชีวิตของกลุ่มเป้าหมาย เช่น โต๊ะทำงานที่สะดวกสบาย หรือ Business center สำหรับกลุ่ม Workation
- ร่วมกับชุมชนหรือเครือข่ายในการออกแบบผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยว เน้นการสร้างประสบการณ์ที่ดีและแตกต่าง
- เพิ่มแคมเปญ โปรโมชัน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ให้พักที่โรงแรมระยะยาวขึ้น โดยโปรโมชันควรมีความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนวันได้ เพื่อทำให้ลูกค้าตัดสินใจง่ายขึ้น
- เพิ่มบริการจัดส่งอาหาร ลดการพึ่งพาช่องทางการให้บริการหลักเพียงช่องทางเดียว
- เน้นวัตถุดิบอาหารที่ตอบโจทย์เทรนด์รักสุขภาพ แตกต่าง มีเอกลักษณ์ ตลอดจนบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
- จัดหากลุ่มวัตถุดิบที่สามารถใช้ประโยชน์ได้หลายๆ เมนู หรือทดแทนกันได้ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น
- วางแผนการเงิน คุม Cash Flow หมั่นตรวจเช็กกระแสเงินสดอยู่เสมอ ช่วยให้สามารถปรับแผนธุรกิจได้ทัน
- ใช้เทคโนโลยีช่วยลดต้นทุน การใช้แอปพลิเคชัน หรือระบบเข้ามาช่วยบริหารจัดการร้านอาหาร
- เลดการพึ่งพาช่องทางการขายหลักเพียงช่องทางเดียว เพิ่มช่องทางออนไลน์ เลือกตามความเหมาะสม อาจมีมากกว่า 1 แพลตฟอร์ม
- จัดเก็บฐานข้อมูลเพื่อการทำ CRM ให้สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงใจลูกค้าเก่าให้มากขึ้น
- เพิ่มพอร์ตสินค้าให้หลากหลายเพื่อดึงดูดลูกค้าหลากหลายกลุ่ม เน้นสินค้าที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต ตอบรับกระแสความต้องการของผู้บริโภคในปี 2565
- สินค้ากลุ่มที่น่าสนใจคือ หมวด สุขภาพ สินค้าอำนวยความสะดวกสบาย และสินค้าที่มี Shelf life ที่ยาวนานขึ้น อีกทั้งยังควรเป็นสินค้ามีคุณภาพและคุ้มค่าคุ้มราคา
- ใส่ใจบริการหลังการขายหรือสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าอยู่เสมอ