ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จากจุดชนวนที่รัสเซียประกาศรับรอง 2 พื้นที่กบฏแยกดินแดนในยูเครนให้เป็นรัฐเอกราช ยกระดับเป็นการใช้กำลังทางทหารเข้าโจมตีกรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน
รวมไปถึงการเข้าโจมตีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซีย ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป จนนำไปสู่มาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย ส่งผลให้หุ้นรัสเซียดิ่งลงอย่างหนักกว่า -65% (อิงดัชนี MSCI Russia) และสกุลเงินรูเบิลก็อ่อนค่าลงมากกว่า 37%
ในช่วงแรก มาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร เป็นเพียงการตัดรัสเซียออกจากระบบการเงินโลกทำให้การทำธุรกิจกับชาติอื่นยากขึ้น ส่วนภาคเอกชนก็ร่วมคว่ำบาตรด้วยการออกมาประกาศเลิกทำธุรกิจในรัสเซีย แต่ด้วยความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้น
ทำให้การคว่ำบาตรได้ลามไปถึงทรัพยากรสำคัญของโลกอย่างน้ำมัน โดยสหรัฐฯ ได้ระบุถึงการระงับการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย ส่วนรัสเซียเองก็ออกมากล่าวว่าจะตอบโต้ด้วยการไม่ส่งก๊าซธรรมชาติผ่านท่อ Nord Stream 1 ซึ่งจะ
กระทบโดยตรงต่อภูมิภาคยุโรปที่พึ่งพาแหล่งพลังงานจากรัสเซียมากที่สุด
หากเกิดขึ้นจริง แปลว่าโลกจะสูญเสียปริมาณน้ำมันดิบไปราวๆ 4-5 ล้านบาร์เรลต่อวัน และอาจต้องใช้เวลาอีก 1-2 ไตรมาส ถึงจะมีปริมาณน้ำมันจากผู้ผลิตรายอื่นเข้ามาชดเชย เช่น จากกลุ่ม OPEC ที่จะค่อยๆ เพิ่มกำลังการผลิต
และอิหร่านที่จะกลับมาส่งออกน้ำมันได้หลังบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์ นักวิเคราะห์บางรายเริ่มประเมินว่า ในกรณีเลวร้าย ราคาน้ำมันดิบ Brent
อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 200 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งจะกดดันต่อต้นทุนสินค้าและบริการต่างๆ ให้สูงขึ้น บั่นทอนการเติบโตของเศรษฐกิจโลก จนนำไปสู่สภาวะ Stagflation ซึ่งก็คือ
ภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวและถูกซ้ำเติมด้วยเงินเฟ้อสูง
ในโลกการลงทุน ต้องยอมรับว่าความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์เป็นสิ่งที่ยากที่จะคาดการณ์ว่า จะสิ้นสุดเมื่อไหร่และจบลงอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่เรามองว่ามีโอกาสเกิดขึ้นสูงก็คือ
เหตุการณ์นี้จะเป็นตัวเร่งให้ทั่วโลกลดการพึ่งพาพลังงานแบบดั้งเดิม อย่างน้ำมัน ที่มักถูกใช้เป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง และหันไปเพิ่มการใช้พลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานชีวมวล
สังเกตว่านอกจากราคาน้ำมันแล้ว เหตุการณ์ความขัดแย้งครั้งนี้ยังส่งผลให้สินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ทั้งกลุ่มโลหะ และสินค้าเกษตรอย่างเช่นธัญพืช ปรับตัวสูงขึ้นด้วย ส่งต่อไปยังทั้งต้นทุนการเดินทาง ค่าขนส่ง ต้นทุนการผลิต
และราคาสินค้า ทำให้มีแรงจูงใจที่จะเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทนรวมไปถึงสินค้าและบริการที่ทำให้โลกยั่งยืน (Sustainability) มากยิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน
เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 26 (COP 26) ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับภาวะโลกรวน (Climate Change
) ในทุกมิติ ไม่เพียงแต่เฉพาะด้านพลังงาน ที่จะร่วมมือกันเปลี่ยนจากการใช้พลังงานดั้งเดิมเป็นพลังงานสะอาดภายในปี 2030 สำหรับประเทศเศรษฐกิจหลัก และปี 2040 สำหรับประเทศอื่นๆ
แต่รวมไปถึงการปรับทั้งห่วงโซ่การผลิตในสินค้าและบริการต่างๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการรักษาระดับอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้สูงขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส
ดังนั้นเราจึงควรหันมาให้ความสำคัญกับทั้งห่วงโซ่การผลิตที่จะทำให้โลกยั่งยืนขึ้น ไม่เพียงแค่ผู้ผลิตพลังงานสะอาดเพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงสินค้าและบริการที่มีนวัตกรรมในการผลิตด้วยวัตถุดิบทดแทน การเพิ่มประสิทธิภาพของสินค้าให้สูงขึ้น
ตลอดจนธุรกิจที่เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนพลังงานสะอาดในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วน อุปกรณ์ ซึ่งเรามองว่าความยั่งยืนจะเป็นกระแสหลักของโลกในอีก 1-2
ทศวรรษข้างหน้านี้ที่นักลงทุนจะให้ความสำคัญมากขึ้น โดยหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวลงน้อยกว่าตลาดหุ้นโลกตั้งแต่ต้นปี นับว่าเป็นสัญญาณที่ดี
แม้จะมีคำกล่าวว่าคงไม่มีใครที่เป็นผู้ชนะในสงคราม มีแต่แพ้กับแพ้เท่านั้น แต่เชื่อว่าหุ้นที่สนับสนุนความยั่งยืนของโลกสามารถเป็นหนึ่งในผู้ชนะได้ ไม่เพียงแค่ในภาวะน้ำมันแพง ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างประเทศในขณะนี้เท่านั้น
แต่ยังถือเป็นการลงทุนในระยะยาวที่จะสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นให้กับพอร์ตการลงทุน พร้อมทั้งยังสอดคล้องไปกับกระแสหลักของโลกในการสร้างโลกที่ยั่งยืนขึ้นอีกด้วย