Display mode (Doesn't show in master page preview)
Skip Ribbon Commands
Skip to main content
Marketing Strategy
Marketing Strategy: Word of Mouth - Referral Marketing (ตอนที่ 1)

ตอนที่ 1 : สุดยอดเทคนิคการตลาดที่โดนใจลูกค้ามากที่สุด

ผลงานวิจัย มากมายสรุปตรงกันว่า "คนเราตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ โดยเชื่อคำแนะนำของคนที่เราไว้วางใจ มากกว่าเชื่อจากคำโฆษณา" (คู่สามีภรรยา, ญาติ, เพื่อน, อาจารย์, ผู้เชี่ยวชาญ) ในมุมของผู้ขาย เรามักพบว่า ลูกค้าที่ได้รับการแนะนำบอกต่อกันมา ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าที่ดี ไว้วางใจเรา, มีความเข้าใจสินค้า ไม่เสียเวลาในการอธิบาย, ไม่ต่อรองราคามาก, จงรักภักดี และยังมีแนวโน้มจะบอกต่อกับคนอื่นๆ อีกด้วย

การตลาดแบบบอกต่อ จึงถือเป็นหนึ่งเทคนิคที่ได้ผลตอบแทนสูงมากเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่าย และดูเหมือนว่า เป็นเทคนิคง่ายๆ พื้นฐานที่ใครๆก็น่าจะคิดและทำเองได้อยู่แล้ว ..แต่สิ่งที่เรียบง่าย อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติก็ได้ !...คุณ

คิดอย่างไรกับ คำแนะนำนี้ ?

"ขอเพียงแค่ผลิตสินค้าหรือให้บริการที่มี
คุณภาพดี ลูกค้าก็จะพอใจและจะบอกต่อๆ กันไป
ธุรกิจนั้นก็จะประสบผลสำเร็จเองโดยธรรมชาติ"

มีสินค้าและบริการที่มีคุณภาพดีมากมายต้องหายไปจากตลาด เพราะทำตามแนวคิด(ที่ดูเหมือนจะจริง) ข้างต้นนี้ ความเชื่อดังกล่าว มีข้อผิดพลาดที่สำคัญ ที่มองข้ามธรรมชาติบางอย่างของมนุษย์ไป เพราะว่าในความเป็นจริงแล้ว...

1. ลูกค้าที่พึงพอใจ ไม่ได้มีนิสัยชอบแนะนำบอกต่อกันทุกคน อาจจะบอกต่อไม่กี่คน แล้วก็หยุด
2. ลูกค้าที่ไม่พอใจ (แม้จะมีจำนวนที่น้อยมากๆ) กลับมีแนวโน้มจะ "บอกต่อ" ที่น่ากลัวกว่ามาก เพราะมักจะพูดต่อเนื่องเป็นเวลานานกว่า, บ่อยกว่า, ใส่ข้อมูลบิดเบือนให้เสียหายและอาจขุดคุยเรื่องราวเก่าๆ เชื่อมโยงเรื่องไม่เป็นเรื่องให้ดูน่ากลัวเข้าไปอีก และคนที่ได้ฟังก็จะจำเรื่องในเชิงลบได้แม่นยำและยังเอาไปพูดต่อกันมากกว่า

การผลิตสินค้าและให้บริการที่ดีนั้น ถือเป็นความจำเป็นขั้นพื้นฐาน คือ "ดีแล้ว แต่ไม่เพียงพอ" ที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จจากการบอกต่อได้ ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ และ ลงมือทำอะไรบางอย่าง

จะดีไหม !!

ถ้าคุณจะสามารถรู้เคล็ดลับ ที่หลายคนมองข้าม เคล็ดลับที่คู่แข่งคุณอาจจะยังไม่เคยนึกถึง เคล็ดลับที่จะทำให้คนที่อยู่รอบตัวคุณ สามารถแนะนำบอกต่อสินค้าและบริการของคุณ ให้กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่คุณกำลังมองหา ในลักษณะที่คุณอยากจะบอก ในเวลาที่ลูกค้ามีความต้องการ และหากมีความเข้าใจผิดพลาดเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของคุณ ซึ่งทำให้มีคนพูดถึงในทางที่ไม่ดี ก็จะมีคนที่ลูกค้าคุณไว้วางใจและเชื่อมั่น ทำการปกป้องคุณ อธิบาย ตอบคำถาม มีโอกาสทำให้ลูกค้าเปลี่ยนใจตกลงซื้อ และอาจถึงขั้นทำการปิดการขายแทน คุณเพียงแค่ทำหน้าที่ส่งมอบและรับเงินเท่านั้น ?!? ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น สามารถเป็นจริงได้ โดยที่ใช้ต้นทุนที่ไม่สูงมากนัก แต่ต้องอาศัยการมีทัศนคติที่ถูกต้อง,มีการเตรียมการที่ดี, มีกลยุทธ์ที่ถูกต้อง มีความใส่ใจและมีระเบียบวินัย ซึ่งรายละเอียดและเทคนิคต่างๆ จะเล่าให้ฟังในบทความถัดๆ ไป
 

การตลาดแบบบอกต่ออย่างเป็นระบบ

(Systematic Word of Mouth – Referral Marketing) คือ ระบบในการทำการตลาดโดยอาศัยการสร้างสายสัมพันธ์ สร้างความไว้วางใจ มากกว่าการคิดขาย (Farming, not hunting) ควบคู่กับการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ กับกลุ่มเป้าหมายที่มีการวางแผนคัดเลือก โดยมีหลักการ "คิดช่วยผู้อื่นก่อน" (Giver's Gain) และ การประสานประโยชน์ (Think Win-Win & Synergy) มีการใช้เทคโนโลยีในการจัดเก็บ บริหารข้อมูล และสื่อสารในรูปแบบต่างๆ ทั้ง online และ offline ส่งผลให้มีการแนะนำแลกเปลี่ยนทั้งลูกค้าและความสนับสนุนด้านต่างๆ ถือได้ว่าเป็นเทคนิคการทำการตลาดในรูปแบบที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) สูงมาก อีกทั้งสามารถทำควบคู่ไปกับระบบการทำการตลาดในรูปแบบอื่นๆ ได้อีกด้วย
ธุรกิจประเภทใดบ้างที่จะได้ประโยชน์จาก การตลาดแบบบอกต่อ (และบางประเภทจำเป็นต้องใช้การแนะนำบอกต่อเท่านั้น)
1. Freelance ที่ทำทุกอย่างเองคนเดียว จึงมักจะยุ่งมาก บางช่วงงานล้นมือจนต้องปฏิเสธลูกค้า บางช่วงก็ว่างมากไม่มีงาน ไม่มีงบประมาณ และ ทีมงานมาคอยช่วยเหลือในการทำการตลาด
2.การค้าที่มีการแข่งขันรุนแรง เพราะการแนะนำบอกต่อจะช่วยสร้างความไว้วางใจ อาจจะช่วยชี้ให้เห็นจุดเด่นที่แตกต่าง มีเรื่องอื่นให้คุยกันมากกว่าแค่เพียงราคา
3.ธุรกิจที่เจาะกลุ่มเฉพาะ ไม่คุ้มที่จะใช้สื่อโฆษณาที่หว่านเกินไป จนทำให้เกิดความสูญเสียโดยไม่จำเป็น

การตลาดแบบบอกต่อ จึงถือเป็นหนึ่งเทคนิคที่ได้ผลตอบแทนสูงมากเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่าย และดูเหมือนว่า เป็นเทคนิคง่ายๆ พื้นฐานที่ใครๆก็น่าจะคิดและทำเองได้อยู่แล้ว ..แต่สิ่งที่เรียบง่าย อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติก็ได้ !...คุณ

4.ธุรกิจที่เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง เพราะโดยมาก กลุ่มนี้หลีกเลี่ยงการคุยกับพนักงานขาย เพราะมีพนักงานขายจำนวนมากพยายามเสนอสินค้า บริการให้กับคนกลุ่มนี้ จนก่อให้เกิดความรำคาญ
 
5.ธุรกิจที่ต้องอาศัยความเชื่อใจสูง ต้องมีการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เช่น Financial planner, หรือมีความเสี่ยงเช่น การให้บริการการรักษาโดยใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ยังไม่เป็นที่นิยม, การผ่าตัดและสินค้าที่ต้องรับประทานหรือใช้กับผิวหน้า
6.ธุรกิจส่วนตัวที่ผู้ขายเป็นคนไม่ชอบขาย พูดไม่เก่ง เพราะจะมีคนอื่นๆ ช่วยกันแนะนำลูกค้าและอาจช่วยปิดการขายให้ได้
7.ธุรกิจส่วนตัว ที่ผู้ให้บริการไม่สมควรจะขาย ผิดมารยาท ผิดกฎหมาย เช่น แพทย์, อาจารย์, ธุรกิจเกี่ยวข้องกับศาสนา
8.ธุรกิจที่จำเป็นต้องใช้ความสัมพันธ์และความไว้วางใจ เช่น ธุรกิจเครือข่าย และประกันชีวิต
9.ธุรกิจการผลิตที่วัตถุดิบหายาก จนบางครั้งไม่สามารถผลิตสินค้าตามความต้องการได้
10.ธุรกิจบริการที่ขีดจำกัดอยู่ที่พนักงาน ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หากพนักงานลาออกหรือหยุดงาน ต้องหยุดให้บริการ
11.ธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้น เจ้าของอายุน้อย ไม่มีประสบการณ์ ไม่มีเงินทุนมาก ไม่มีฐานลูกค้า ไม่มีนามสกุลดัง ไม่มี connection ไม่มีสินค้าที่แตกต่างโดดเด่น ไม่มีทำเลทอง ไม่มีทีมงาน ไม่มี website ไม่มีชื่อเสียง
การผลิตสินค้าและให้บริการที่ดีนั้น ถือเป็นความจำเป็นขั้นพื้นฐาน คือ "ดีแล้ว แต่ไม่เพียงพอ" ที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จจากการบอกต่อได้ ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ และ ลงมือทำอะไรบางอย่าง
ในข้อสุดท้าย อาจจะดูเหลือเชื่อ รายละเอียดจะอธิบายอย่างชัดเจนในบทความครั้งต่อๆ ไป พบกันใหม่ในเดือนหน้า สวัสดีครับ

ติดต่ออาจารย์ ดำเกิง ไรวา ได้ที่

emai : tlrmania@yahoo.com

AUTHOR

Object reference not set to an instance of an object.

RELATED STORY